วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ (Review: อิตาลี ตอนที่ 2 Florence)


วันที่ 11 ฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ ฟิเรนเซ (Firenze)

หลังจากตื่นขึ้นมารับประทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ ให้ทำการ Check out แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่ห้องเก็บของไว้ก่อน แล้วถ้าใครอยากจะไป Shopping ของที่ได้เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ก็ยังพอมีเวลานะ สายๆก็กลับมาเตรียมเสบียงก่อนที่จะขึ้นรถไฟ ไป Florence หน้าปากซอยของโรงแรมจะมีร้านจีน (ที่ชอบแนะนำร้านจีนเพราะได้ทานข้าวร้อนๆ และกับข้าวก็ถูกปาก ทำให้อิ่มท้องกว่าพวกขนมปังอ่ะ แต่ใครอยากทานพิซซ่าก็มีให้เลือกเยอะราคาไม่แพง )รอบแรกสำหรับตั๋วราคาประหยัดคือ บ่ายโมง แต่หากใครไม่อยากรอก็สามารถซื้อตั๋วได้ตั้งแต่รอบเช้า
ตั๋วรถไฟที่เดินทางไป Florence มี 2 ประเภท คือตั๋ว EuroStar (ES) ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง และเดินทางตรงถึง สถานี Florence Santa Maria Novella (Florence S.M.N.) ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ ของเมืองฟลอเรนซ์ ตั๋วอีกประเภทคือ ตั๋ว InterCity (IC) ซึ่งมีราคาถูกกว่ารถไฟ ES เกือบครึ่งแหนะ แต่จะใช้เวลาเดินทางนานกว่า 1 ชม. และจะต้องไปลงที่สถานี Flornce Rifredi (RIFR) ซึ่งเป็นสถานีรองสุดท้าย ก่อนถึงสถานี Florence S.M.N. หากต้องการประหยัดก็เลือกเป็นตั๋วประเภท IC


Timetable ของรถไฟจากเวนิส ไป ฟลอเรนซ์ 


ดังนั้นหากใครเลือกที่จะประหยัด ก็ต้องซื้อตั๋วรถไฟจาก Florence (RIFR) เพื่อต่อรถไฟไปลงสถานี  Florence S.M.N.อีกที ซึ่งมีรถออกทุก 10 นาทีราคา 1 ยูโร  (ที่ยุ่งยากก็เพื่อความประหยัดของเรานะ แต่หากใครมีกำลังทรัพย์ เหลือเฟือ ก็แนะนำให้ขึ้น ES เพื่อเป็นการประหยัดเวลาดี )
ภาพ สถานีรถไฟ Florence Rifredi (RIFR) พร้อมลายแกรฟิตี้  

สถานีรถไฟ Firenze S.M.N.


ตั๋วรถไฟ

สภาพของสถานีรถไฟ และตัวขบวนรถไฟที่อิตาลีอาจจะดูไม่สะอาดตาบ้าง  ซึ่งจะแตกต่างกับรถไฟในสวิสโดยสิ้นเชิง คงเพราะเป็นเมืองแห่งจิตกรหละมั๊ง ถึงได้มีลายวาดๆเขียนๆทั่วไปหมด (ข้อดีรึป่าวเนี่ย)
โรงแรมที่เราแนะนำนี้ ชื่อโรงแรม Soggiorno Gloria 
ระดับ 2 ดาว
Feedback 7.6
 แผนที่โรงแรม Soggiorno

Florence หรือ Firenze เป็นเมืองหลวงของแคว้น Tuscany ของอิตาลี โดยเมืองนี้ทอดตัวอยู่ริมแม่น้ำ อาโน (Arno River)  เป็นเมืองที่รวบรวมศิลปวิทยาการในยุค Renaissance ไว้มากมาย ทำให้ศิลปินมีโอกาสสร้างผลงานมากมาย อย่างที่เราคุ้นๆ ชื่อกันก็เช่น ลีโอนาร์โด ดาวินชี และ มิเคลันเจโล หรือที่รู้จักในนาม ไมเคิลแองเจลโล  ดังนั้นเมือง Florence จึงเหมาะกับคนที่ชอบศิลปะทั้งภาพเขียนและรูปปั้น

แผนที่ เมือง Florence


ในฟลอเรนซ์นี่เองที่เราเริ่มจะเห็นตำรวจ เยอะแยะไปหมด เกือบทุกแยก เพราะที่อิตาลีเคยขึ้นชื่อว่า เป็นเมืองที่มีขโมยรวมถึงนักวิ่งราวเยอะค่อนข้างอันตรายกับนักท่องเที่ยว อันนี้มีหลายท่านที่รู้จักกันมีประสบการณ์ดี ทั้งโดนล้วงกระเป๋า หรือวิ่งราว แต่ปัจจุบัน อิตาลีเองก็ลดปัญหาดังกล่าวได้ค่อนข้างเยอะ
หลังจากที่เรา Check in เรียบร้อย ที่แรกที่จะพาไปกันเลยคงหนีไม่พ้น St Duomo ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง ออกจากโรงแรม (ถ้าเป็นโรงแรม Soggiorno Gloria ก็ให้ข้ามถนนแล้วเดินตามถนน Faenza ไปเรื่อยๆ สองข้างทางจะมีทางเดินเลาะซอยนั้นซอยนี้ ชมบ้านเรือน อาคารสวยงาม ตลาดนัดขายของเยอะแยะ ผ่านโบสถ์ S.Lorenzo เดินต่อไปก็จะเจอกับ Duomo) ที่อิตาลีเราจะเห็นพ่อค้าอีกประเภทหนึ่งที่จะแบของขายกับดิน โดยจะเอากระเป๋าปลอมยี่ห้อต่าง ๆ มาวางขายบนถนน แต่ต้องคอยรวบผ้าขึ้นและเดินหนีหากเจอตำรวจ บางทีวิ่งไปวิ่งมา ใกล้ๆเราก็ต้องระมัดระวังตัวกันพอสมควร
 วิหาร Duomo หรือวิหาร Santa Maria del Fiori เป็นวิหารในสไตล์โกธิค   มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก (อันดับหนึ่งคือ St. Peter's ที่โรม และที่สองเป็น St. Paul's ในลอนดอน จุดเด่นก็คือเจ้าโดมสีแดงที่ถ้าไปที่จุดชมวิวก็จะเห็นกันได้เด่นชัด ถ้าใครอยากชมวิวก็สามารถขึ้นไปข้างบนโดมได้ ประมาณ 6-7 ยูโร















วิหาร Duomo 
 
Duomo ถูกประดับประดาด้วยหินอ่อนทัสคาน มีทั้งสีชมพู เขียว และสีขาว ด้านหน้าของวิหาร Duomo จะพบกับ Baptistery ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 1 มีประตูสีทองสวยงาม ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น "ประตูแห่งสรวงสวรรค์"



ภาพจากยอดโดมวิหาร Duomo มองลงมาที่ Baptistery 

หลังจากนั้นเดินไปทาง ถนน Calzaioli จะไปพบกับจตุรัส Piazza della Signoria ที่นี่มีจุดน่าสนใจหลายจุดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นจำลองของหนุ่มเดวิด โดยฝีมือของไมเคิลแองเจลโล แต่ตรงจุดนี้เป็นรูปปั้นจำลอง พร้อมกับมีรูปปั้นอื่นๆอีกมากมายเรียงรายอยู่ เป็นเหมือน gallery กลางแจ้งเลย (ของจริงอยู่ที่ Galleria dell Accademia หรือ Accademia Gallery) ถ้าไม่อยากเสียเงินชมก็มาถ่ายกันที่นี่ได้ ไฮไลด์อีกอย่างของที่นี่ก็คือ Fountain of Neptune หรือ น้ำพุเทพเจ้าเนปจูน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของป้อมปราการ และหอนาฬิกาสูง นั่นคือ Palazzo Vecchio ซึ่งเคยเป็นวังของตระกูลเมดิซี่


 จตุรัส Piazza della Signoria




แกลอรี่ รูปปั้น ด้านหน้า
 รูปปั้น เทพเจ้าเนปจูน


Palazzo Vecchio


ด้านข้างของจตุรัสจะเป็น Uffizi Gallery ซึ่งเป็นอาคารข้างๆกับ จตุรัส Piazza della Signoria หอศิลป์อุฟฟิซี (Uffizi Gallery) เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1560 เพื่อใช้เป็นสำนักงานของผู้พิพากษาแห่งเมือง Florenze ดังจะเห็นได้จากความหมายของคำว่า Uffizi  ซึ่งก็คือ Office ในภาษาอังกฤษในเวลาต่อมาอาคารแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อใช้เป็นที่เก็บรวบรวม และจัดแสดงงานสะสมของตระกูลเมดิซี (the medici family) ตระกูลผู้ปกครองฟิเรนเซในอดีต
 (การจะเข้าชม Gallery ควรจะต้องทำการจองล่วงหน้า ซึ่งสามารถจองได้จากเว็บไซต์ ( http://www.uffizi.com/ )  สำหรับคนที่เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ หรือชื่นชอบจิตรกรรมระดับโลก ไม่ควรพลาด ) 



สองข้างทางนี่แหละ Uffizi Gallery

หลังจากเก็บภาพและบรรยากาศกันเรียบร้อย ให้เดินออกมาด้านหลังของ Uffizi Gallery ไปยังถนนเรียบแม่น้ำ ก็จะพบกับสะพาน  Vecchio (ภาษาอิตาลีแปลว่า Old Bridge) เป็นสะพานไม้อันสุดท้ายใน Florence ที่ยังคงสภาพดีอยู่สะพานทอดตัวข้ามฝั่งแม่น้ำอาโน ในวันอากาศดี ภาพเงาสะท้อนน้ำ เหมือนภาพวาดยังไงยังงั้น บนสะพานมีร้านค้ามากมาย บนราวสะพานจะมีโซ่ซึ่งคู่รักมักจะเอากุญแจแห่งรักมาล๊อคกับราวบนสะพาน เพื่อบอกว่าเราสองคนจะไม่แยกจากกัน (ฮิ้วววว 





สะพาน Vecchio
 ถ่ายพระอาทิตย์ตกบริเวณสะพาน Vecchio
 ถึงตรงนี้ เวลาก็จะประมาณ 1 ทุ่มแล้วถ้าไม่รีบก็เดินเรียบแม่น้ำ เพื่อไปยังจตุรัส Piazza della Repubblica ซึ่งสองข้างทาง แถวนี้ก็จะมีร้านค้ามากมาย สามารถแวะทานอาหารค่ำตามสไตล์อิตาลีได้เลย มีให้เลือกหลายร้าน เสร็จแล้วกลับห้องพัก เพื่อเก็บแรงเอาไว้ไปเที่ยว ปิซ่า ในวันพรุ่งนี้

 ร้าน เฟอรารี่ ก็มีโชว์รถ F1 สวยๆให้ดู



อาหารหน้าตาสวยงามมีให้เลือกกินมากมายแถวนี้ 


จุดท่องเที่ยวอื่นๆ ใน Florence
มหาวิหารซานตาโครเซ่ (The Basilica di Santa Croce) หรือ โบสถ์ซานตาโครเซ่ (Church of Santa Croce) ที่นี่เป็นที่ฝังศพของบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงในอดีตมากมาย อาทิเช่น จิตรกรเอกของโลก ไมเคิลเองจิโล่ (Michelangelo) นักวิทยาศาสตร์ กาลิเลโอ (Galileo) และนักคิดผู้ไร้ศีลธรรม เจ้าของแนวคิดทางการเมืองที่ว่า การเมืองและศีลธรรมเป็นคนละเรื่องกันคือแมคิอาเวลลี (Machiavelli) นั่นเอง
โบสถ์ Santa Croce

หอศิลป์อะคาเดเมีย (Galleria dell’ Accademia) ที่นี่เป็นที่แสดงผลงานทางศิลปะของปะติมากรและจิตรกรเอกของโลกหลายคนด้วยกัน แต่ชิ้นเอกก็คือรูปปั้นแกะสลักของพ่อหนุ่มเดวิด (Statue of David) ซึ่งไมเคิลเองจิโล่ ใช้เวลาในการแกะสลักหินอ่อนเป็นเวลา 3 ปี กว่าจะเสร็จสมบูรณ์ จากที่เราเห็นผลงานต้องบอกว่าประณีตมาก ๆ และจริงอย่างที่เค้าว่ากันว่าไมเคิลเองจิโล่ ได้ศึกษาและมีความรู้ทางด้านกายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) เป็นอย่างดี จึงทำให้เดวิดเป็นรูปปั้นแกะสลักที่สมบูรณ์แบบมาก และที่นี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ ภาพที่เห็นสองภาพข้างล่าง เป็นภาพที่ได้จากอินเทอร์เน็ต




หอศิลป์ Accademia และ รูปปั้น เดวิด ของจริง ลองดูซิว่าต่างกันตรงไหน  




ภาพ Piazza della Repubblica  

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17 กันยายน 2554 เวลา 04:31

    ขอบคุณสำหรับบล็อกนี้มากๆ ครับ เข้ามาอ่านและพยายามวางแผนการเดินทางตามไปด้วยครับ รบกวนหน่อยครับ รถไฟในอิตาลี ที่ผมดูจาก เวนิช ไป โรม โรมไปกลับปิซ่า แพงมากครับ สองคนหมื่นกว่าต่อครั้ง

    รบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ ว่าขึ้นรถไฟของอะไรดี และมีเวปไซด์ให้ดูหรือเปล่าครับ

    ขอบคุณครับ

    แฟนพี่กาก้าและ คุณก้อย

    ตอบลบ
  2. คุณ ไม่ระบุชื่อ ครับ ไม่แน่ใจที่เข้าไปดูค่าตั๋ว นี่ เว็บอะไรครับ ลองเข้าไปดูใน www.italiarail.com/ นะครับ และวิธีการจองได้จาก ลิงค์นี้ http://travelhunsa.blogspot.com/2011/02/5.html ถ้าจำไม่ผิด ราคาไม่แพงนะครับ ยิ่งถ้าเราจองก่อนหน้าแล้ว ราคาจะถูกมาก แต่ต้อวางแผนดีๆ เพราะว่า รถไฟที่ อิตาลี ชอบ delay บ่อยๆ ครับ

    ตอบลบ
  3. สอบถามหน่อยได้ไหมค่ะ คือจะเดินทางจาก ปารีสไปอิตาลีทางรถไฟ แล้วทีนี้อยากเที่ยวให้ครบเลยอ่ะคะ หอเอน กรุงโรม ฟลอเรน เวนิส ควรจะวางแผนเที่ยวเมืองไหนก่อนอ่ะคะ จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา

    ตอบลบ
  4. ขาไปลงที่ไหน และขากลับขึ้นจากที่ไหนครับ ของผมขาไปลง ฝรั่งเศส ขากลับกลับที่อิตาลี ถ้าดูตามแผนที่เนี่ย จากฝรั่งเศสมาจะถึงเวนิส ก่อนครับ แล้วก็ค่อยลงมาเที่ยวช่วงกลางๆ คือ ฟรอเลนซ์ ส่วนปิซ่า อยุ่ไม่ห่างจาก ฟลอเรนซ์ เท่าไหร่ครับ ไม่ต้องไปค้างที่ ปิซ่าก็ได้ แล้วผมมาจบที่โรม เพราะที่เที่ยวเยอะสุด แล้วก็ต้องมาขึ้นเครื่องกลับด้วย ครับ ลองวางแผนดีๆ เที่ยวให้สนุกนะครับ อ้อ ที่อิตาลี ลากกระเป๋าลำบากหน่อยนะครับ เพราะว่า ถนนไม่ดีเลย สถานีรถไฟ ก็สู้ ฝรั่งเศส ไม่ได้ ดังนั้นหากะเป๋าทนๆ หน่อยนะครับ ตอนผมไปล้อหักเลย อะ ต้องไปซื้อใบใหม่ โชคดี มีร้านคนจีนขาย 10 ยูโร ถูกมากๆ ^^

    ตอบลบ