วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ Hong Kong Day 1 (ฉบับย่อ)

ต้องขอบอกว่า ตอนที่เขียนทริปนี้ ก็ปล่อยทิ้งข้อมูลไว้ตั้งเกือบครึ่งปี ^^''  ไม่ได้ Update เลย ทำให้ข้อมูลเลือนลาง ตามสภาพอายุสมอง 555 ข้อมูลที่ได้อาจจะไม่ละเอียด เท่ากับ ทริปก่อนๆ  แต่ต้องขอบอกว่า ฮ่องกง มาเก๊า เป็นอะไร ที่เที่ยวไม่ยาก  สามารถไปเอง ได้สบายๆ ต้องขอขอบคณข้อมูลจาก www.hongkongfanclub.com  ที่เอื้อเฟื้อ ข้อมูลมากมาย ให้เราวางแผนไปเที่ยว  ถ้าเพื่อนๆ อยากได้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ก็สามารถเข้าไปดูกันได้ ครับ 


เอ้า สำหรับ ของเราสองคนก็มาเริ่ม กันเลยดีกว่า 


หลังจากเราเที่ยวมาเก๊ามา 2 คืน ย่างเข้าวันที่ 3  ตอนเช้า นั่งรถเมล์ (จำสายไม่ได้ แต่ดูเส้นทางที่วิ่งไป ท่าเรือ Macau Ferry Terminal ภาพสามารถย้อนกลับไปดูวันแรก ได้ ต้องผ่านด่าน ตม. เหมือนเดินทางออกนอกประเทศ กรอกเอกสาร ยื่น เสร็จไปซื้อตั๋วเรือ  ถ้าขึ้นของ Turbo Jet ก็จะลงที่ Macau Ferry Terminal ฝั่งฮ่องกง อยู่ในเขต Sheung Wan ตัวอาคารจะตรงกับ MTR พอดีตรงประตู D   แต่ถ้านั่ง First Ferry จะไปลงที่ China Ferry Terminal ซึ่งอยู่แถว  Tsim sha tsui  สำหรับทริปของเรา ขึ้น Turbo Jet จ๊าาา 




นั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงละ วันนี้คิวเที่ยวยาวเหยียด เพราะเก็บวันหลังๆไว้ Shopping รูปเพียบเลย ติดตามชมกันได้แล้วค๊าบ ^^


ตามภาพ หลังจาก Check out ก็ไปนั่งรถเมล์ แถวท่ารถที่เราลงวันมานั่นแหละ แต่จำสายไม่ได้ ^^'' ขึ้นเรือที่ Macao Ferry ไปฮ่องกง ไปลงที่ท่าเรือ ออกมาเจอสถานีใกล้ๆ Central แล้วต่อรถไฟไป North Point เข้า Check in ก่อน


สถานี North Point ออกมา ที่ถนน Java Rd. เลี้ยวขวา ก็เจอเลย โรงแรม iBis 






โรงแรม iBis ราคา 2 พัน 5 ได้ Pro อาหารเช้าดีๆ จาก Booking.com ห้องเล็ก แอร์ไม่เย็น แต่วิวดี เหมือน Feed Back ที่อ่านมาเลย 555 แต่เพราะใกล้สถานีรถไฟ และ ท่ารถเมล์ ก็เลยเลือกที่นี่ ตั้งอยู่ฝั่งฮ่องกง มองเห็นเกาลูนจากหน้าต่างห้องนอนได้เลย





เก็บของเสร็จแล้ว ก็ไปกินข้าวเที่ยง ก่อนไปเที่ยว ทริปหน้า น้องก้อย บอกว่าขอมาตระเวนกินอย่างเดียวนะ ของกินฮ่องกงอร่อยมาก

 ลืม Up รูป Sea View จากห้องนอน ^^
 หลังจากกินข้าวจนมีพลัง พร้อมเดินทางแล้ว เราก็เริ่มทริปเทียว Hongkong วันนี้ กันเลย สถานที่แรก คือ Repulse Bay เพื่ไปนมัสการ องค์ เจ้าแม่กวนอิม , เทพเจ้าโชคลาภ และ เทวรูป , เทพเจ้า ต่างๆ ที่ตั้งประดิษฐานอยู่อย่างเด่นสง่า เพื่อเป็นสิริมงคล เอาชัยกันหน่อย
ป้ายรถเมล์ที่เราจะขึ้นก็คือท่ารถเมล์ Harbour Parade นี่แหละ ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรม iBis (จากรูป Panorama Sea View) จะเห็นท่ารถอยู่ด้านล่างของภาพ )  เส้นทางรถเมล์ไม่ยาก สามารถค้นหาได้จาก เว็บไซต์ http://www.nwstbus.com.hk/home/default.aspx?intLangID=1
เป็นเว็บ Citybus ของ Hong kong   เราแค่เข้าไป Search แบบ Point-to-point ตามตัวอย่าง
เราเลือกต้นทางจาก North Point ไปลง Repulse Bay




กด Search ผลลัพธ์ที่ได้ แทแด้มมม  รถที่ขึ้นได้ก็มี สาย 63 กับ 65   วิธิหารถขากลับก็ใช้วิธีเดียวกันก็ได้ ^^




 นั่งรถเมล์ไปไหว้ เจ้าแม่กวนอิม เก็บบรรยากาศบนเกาะฮ่องกง ซึ่งเอกลักษณ์คือ รถรางสองชั้น


แผนที่เส้นทางไป Repulse Bay  ขึ้นเขาลงเขา หลายรอบ จนปกติ เป็นคนที่ไม่เคยเมารถ ก็เมา ก็คราวนี้แหละ อ๊อกกกก T T 








เล็งตึกนี้ให้ดี ๆ ถ้าเห็นแล้วรีบลงเลย  แสดงว่าถึงแล้ว  ตึกนี้มีชื่อว่า The Repluse Bay หน้าตึกมีป้ายรถเมล์ ลงตรงนี้เลย ไม่งั้นเลยแน่ๆ...


ตึกนี้มีประวัติน่ะ  สังเกตุหรือเปล่าว่าทำไมตึกถึงต้องมีรูตรงกลางด้วย???ตอบ ... แต่ก่อนตึกนี้ก็เป็นเหมือนตึกอื่น ๆทั่วไปแหละ  เป็นตึกตัน ๆ แต่ว่าหลังจากที่ทำเสร็จกิจการก็ไม่ดีทางเจ้าของตึกจึงไปจ้าง ซินแส ชื่อดังมาดูฮวงจุ้ยให้ ว่าเกิดอะไรขึ้น  ปรากฏว่าตึกนี้สร้างขวางการเดินทางเข้าออกของมังกร  ทำให้มังกรไม่สามารถลงมาเล่นน้ำที่ทะเลได้ ส่งผลให้กิจการแย่ลงเรื่อยๆ ซินแส จึงบอกว่าต้องเจาะตึกให้มังกรวิ่งเข้า-ออกได้อย่างสะดวกอย่างเดิม... เจ้าตึกนี้ก็เลยมีหน้าตาแบบนี้นี่เองหลังจากนั้นเจ้าของตึกก็ทำกิจการอะรัยก็สำเร็จลุล่วงทุกอย่าง






ขากลับเราวางแผนว่าจะไปขึ้นกระเช้าเพื่อไป The Peak ต่อ จึงต้องเปลี่ยนสายรถเมล์เพื่อมุ่งหน้าไป Central  เราจะลง  บริเวณ ตึก Bank of China Tower (ถ้าสงสัยว่าตึกไหน ก็รูปข้างล่างที่เป็นตึกดาบ นี่ไง )
จากข้อมูล ขึ้นสาย 6 โลดดดดดด 


เจอแล้ว ตึกดาบค๊าบบบ  สังเกตป้าย Peak Tram เดินตามไปเรื่อยๆ ก็เจอสถานีแล้ว ^^




การซื้อบัตรทั้งหมดมี 2 วิธี
วิธีที่ 1 : สำหรับใครที่ใช้บัตร Octopus Card ก็จะต้องเข้าแถวนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงคิวเราที่จะต้องซื้อบัตร  เราก็ไม่ต้องซื้อบัตรและสามารถเดินตรงเข้าไปด้านในเพื่อแตะบัตร Octopus เพื่อตัดค่าโดยสาร Peak Tram ได้เลย
วิธีที่ 2 : ใครที่ใช้เงินสด  ก็จะต้องเข้าแถวนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน  พอถึงคิวที่เราจะต้องซื้อบัตร  เราก็จะต้องไปที่เค้าน์เตอร์เพื่อชำระค่าโดยสาร
หมายเหตุ : ที่นี่ไม่รับบัตรเครดิตน่ะจ๊ะ


รอนานมาก เกือบ 2ชม. หนะ  -_-''



ถึงแล้วววว The Peakถ่ายกับ Poster ก่อน เดี๋ยวข้างนอกมันมืด ถ่ายยากอ่ะ
แต่ถ้าใครอยากขึ้นไปยังจุดชมวิว สูงสุด (The Terrace) ต้องเสียเงินค่าขึ้นไปอีก ถ้าถามว่าคุ้มไม๊ ก็คุ้มนะ ได้ภาพอย่างที่เห็นข้างล่างนี่แหละ ^^


180' กับ View From The Peak




รูปสวยๆ บรรยากาศ ยากที่จะลืมเลือน





ขากลับ จะนั่งกระเช้าลงก็ได้ แต่ขอบอกว่ารอคิวนานมากๆ พอๆกับขามา จึงตัดสินใจนั่งรถเมล์กลับดีกว่า เดินออกมาจาก ตัว Terrace จะมีท่ารถเมล์และ Taxi ไว้บริการ  เป้าหมายเราก็ลงไปด้านล่าง ที่ Central Station ^^  


หลังจากถึงสถานที เราก็ เช็คตั๋ว Octopus หน่อยว่าตังค์หมดยัง เติมตังค์ได้จากที่ตู้ หรือ 7-11 ในสถานีได้เลย  เหมือนเดิม นั่งรถไฟฟ้า กลับไปลง สถานี North Point เป็นอันจบ ทริป 1 วันแล้ว ^^

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ มาเก๊า ฮ่องกง ตอนที่ 2

วันที่ 2 มาเก๊า ทัวร์ จัดเต็ม

     แผนเที่ยววันนี้ ที่จัดเอาไว้ล่วงหน้า มีเยอะมาก ทั้งไปวัด อาม่า ไปไหว้รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม รวมถึง ไปหมู่บ้านวัฒนธรรมและไปดูรูปปั้น อาม่า  แต่ปรากฏว่า ฝนดันตกซะนี่ ผิดแผน หมดเลย  เราสองคนเลยคุยกันว่า ถ้างั้น ก็เที่ยวในตัวเมืองก็พอ  เพราะงั้น ถ้าหากใครได้มาเที่ยว ก็ลองวางทริปเพิ่มสำหรับที่เที่ยวที่ผมไม่ได้ไปนะครับ

เอาหละ ตื่นมาตอนเช้า ก็ต้องหาอะไรทาน ให้ได้อรรถรสของมาเก๊า ซะหน่อย

 บรรยากาศยามเช้า เราเดินออกมาหาอะไรทานที่ Senedo Square อีกแล้ว เพราะมีร้านนึงที่ได้เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และอยู่ในร้านแนะนำจากหนังสือ


ผ่านตรอกซอกซอย ก็เห็นแต่คนเดินกันเป็นคู่ๆ

จากแผนที่ Senedo Square  อยู่ที่จุด A  ร้าน Wong Chi Kei ที่เมื่อวานเราไปกินมาอยู่ที่จุด B และ ร้าน ที่เราจะไปทานเช้าวันนี้ อยู่ที่จุด C

ร้านเด็ดนี้มีPork Chop Bun ที่ถูกปากเรามากๆ ส่วนบะหมี่ มันเหมือน มาม่าไง ไม่รู้ ขนมหวานที่เค้าแนะนำ กินไม่หมดด้วย เพราะไม่หร่อยเลยอ่ะ 5555
  
เอาหละ หลังจากกระเพาะเราอิ่มแปล้ แล้ว ก็พร้อมเดินทาง เรากลับมาเดินเที่ยว Sendo ตอนกลางวัน ฝนก็ยังปรอยๆ ตลอด อ่ะ แต่เหมือนคนที่นี่จะชิน บางคนทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น เดินกันเฉยๆ

ย่านการค้าเซนาโด้สแควร์ โดดเด่นด้วยพื้นถนนที่ปูลาดด้วยกระเบื้อง เป็นลอนคลื่น เปรียบเสมือนท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์ ล้อมรอบไปด้วยอาคารสไตล์ยุโรปหลากสีสัน ที่นี่จัดว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่รวมไว้ซึ่งร้านค้าต่างๆ มากมาย ทั้งแฟชั่น แบรนด์เนม ร้านแผงลอย เฟอร์นิเจอร์โบราณ อัญมณี เครื่องประดับ ของที่ระลึก ฯลฯ เรียกว่าจะหาซื้ออะไรในมาเก๊า มาที่นี่ที่เดียวก็ได้ครบ


เดินเข้ามาใน Senedo Square ได้นิดเดียวก็จะเห็น โบสถ์ St.Dominic เข้าไปชมด้านในกันหน่อย

St. Dominic’s Church หรือ โบสถ์ เซนต์ดอมินิค เป็นโบสถ์ที่ได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ A Abelha da China เป็นภาษาโปรตุเกสแห่งแรกในจีน ในวันที่ 12 กันยายน ค..1822 ส่วนหอระฆังด้านหลังอาคารได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนามากถึง 300 ชิ้น เปิดให้เข้าชม 10.00-18.00 .   โดยบาทหลวงในนิกายโดมินิกันชาวสเปน  3 รูปที่มาจากอะคาปุลโกในเม็กซิโกโบสถ์แห่งนี้ความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์พระแม่มารี (Brotherhood of Our Lady of Rosary)
ในปี 1929 ทางโบสถ์ได้รับเอาแม่พระฟาติมามาบูชาด้วย เนื่องจากแม่พระฟาติมาได้ทรงปรากฏพระองค์ให้คนเลี้ยงแกะ 3 คนเห็น ที่เมือง Fatima ประเทศโปรตุเกสหลังจากที่ได้มีการบูชาพระแม่ฟาติมาที่โบสถ์แห่งนี้แล้ว การบูชาแม่พระฟาติมายังได้เผยแพร่ไปยัง ติมอร์ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย ด้วย
ด้านบนทำเป็นวงรีประดับรูปเคารพซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Dominican orderเสาที่ประดับด้านหน้าเป็นเสาคอรินเธียนทั้งหมด หน้าต่างเป็นหน้าต่างบานเกล็ด ทาสีเขียวตัดกับสีของตัวอาคาร ช่องซุ้มประตูด้านหน้าทั้ง 4 ช่องตกแต่งด้วยปูนปั้นอย่างสวยงามเข้ากันกับเสาคอรินเธียนที่ค้ำทางเข้าโบสถ์

เวลาไปเที่ยวตปท ทีไร จะพยายามจัดทริปให้ได้ไปโบสถ์ด้วย เพราะน้องก้อย นับถือคริสต์ ^^

หลังจากนั้นเราก็จะเดินไปชม โบสถ์ St Paul  แต่ต้องบอกตามตรงว่าตอนนั้น ลืมแผนที่เอาไว้ที่ห้องรู้แต่ว่าเดินจาก Senedo ขึ้นไป เดินมาถึงทางแยก ซ้ายขวา ต้องเลือกแล้วซิ  แล้วทุ๊กกกกก ที เวลาต้องตัดสินใจเลือกทางทีไร มันไปผิดทุกที

ให้ดูแล้วกันว่า เราเดินกันยังไง


ปกติ เดินตามลูกศร สีแดง ก็ถึงแล้ว แต่เส้นที่เราเดิน คือ "สีเหลือง"   ขาลากเลยซิค๊าบบบ

แต่โอเค ไม่เป็นไร ทางที่เราเดินไป ได้ผ่าน สุสานโปรตุกิส ด้วย ก็เลยได้แวะถ่ายรูปเพิ่มเติมอีกจุด (ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเล้ยยย 555 ^^'' )

ป.ล. ถ้าใครอยากซื้อของที่ระลึก เช่นพวงกุญแจ ลูกแก้ว Magnet อื่นๆของมาเก๊า จะมีหลายร้านอยู่ถนน R.Dom Belchior Carneiro ซึ่งจากแผนนที่จะอยู่บนสุดตรงลูกศรสีเหลือง ที่ไปตั้งตรงนั้นเพราะเป็นจุดจอดรถทัวร์ครับ ^^




จัดซักรูป

ที่เห็นเป็นอาคารสีฟ้าๆ คือ อาคารที่อยู่ในสุสาน โปรตุกิส  / ถนนที่นี่ สวยนะ จะว่าไป เพราะปูหินตามพื้นถนน เป็นลวดลาย ต่างๆ สวยงามเชียว


ระหว่างทางที่ " เดินหลง "เห็นถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสาน ระหว่าง โปรตุเกส กับ มาเก๊า ได้อย่างชัดเจน

เพราะเราเดินหลงทำให้มาโผล่ที่ประตู St.Paul ทางด้านหลัง ก็เลยขึ้นไปชมวิวก่อน เพราะบันไดเลื่อนจะถึงก่อน ด้านบนจะมีพิพิธภัณฑ์มาเก๊าด้วยซึ่งเปิดให้เข้าชมวันอังคาร – วันอาทิตย์( 10 โมง – 6 โมงเย็น) ค่าเข้าคนละ 15 MOP  แต่ถ้าจะชมวิวอย่างเดียวก็ไม่เสียเงิน ขึ้นบันไดเลื่อนไปด้านบน จะมีป้อมปืนใหญ่ สมัยก่อน และเห็นทิวทัศน์ มาเก๊า ได้จากด้านบน ด้วย ^^

วิว Panorama จากบนยอดเขา

ลงมาด้านล่าง มาต่อกันที่ ประตู St.Paul คราวนี้ของจริงละ ไม่มีหลง 5555

ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล ( Ruins of St.Paul's ) ก่อตั้งขึ้นในปี 1594 และปิดในปี ค..1762 เป็นมหาวิทยาลัยตามแบบตะวันตกแห่งแรกของเอเชียตะวันออก หลังจากที่เกิดเพลิงไหม้ในปี 1853 ทั้งวิทยาลัยและโบสถ์ถูกทำลายจนเหลือแต่ด้านหน้าของตึก  ฐานโบสถ์และบันไดด้านหน้า ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก


ซากประตู St Paul  สัญลักษณ์ของ มาเก๊า ที่หนังโรแมนติก เรื่องไหนๆสมัยก่อน ก็ต้องมาถ่าย คนเยอะมากกกกกก

รูปปั้น ชายชาวฝรั่ง กับ ญ ชาวจีนที่ยื่นดอกไม้ให้ หมายถึงอะไร หาอ่านประวัติกันเอาเองนะ อิๆๆ

ถนนบริเวณด้านหน้า ประตู St.Paul ก็จะมุ่งกลับไปยัง Senedo Square  สองข้างทางจะมีร้านขายของเพียบเลยทั้งของกิน เสื้อผ้า ของฝากที่เป็นของกิน เราก็หาซื้อได้จากที่นี่ ตอนนี้ก็เที่ยงกว่าๆ แล้ว เราก็แวะกินข้าวเติมพลังกันก่อน ฟ้ายังครึ้มๆอยู่ เราเลยตัดสินใจว่าบ่ายนี้ จะไปเที่ยว Fisherman's Wharf แทน 
เส้นทางรถเมล์ จำไม่ค่อยได้ แต่เลือกรถเมล์ที่วิ่งไปทาง ท่าเรือ มาเก๊า (ให้เช็คแผนที่อีกทีนะครับ ) แต่ตัว Fisherman's Wharf เนี่ยจะอยู่ติดกันเลย  ถ้าเดินมาก็ไม่ไกล หรือลงป้ายรถเมล์ที่ใกล้ๆกับ Sand Casino หรือ จตุรัส ดอกบัว (Lotus Square) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประกาศอิสรภาพ ขอมาเก๊าที่ได้รับจากโปรตุเกส
  


จาก Senedo Square ก็ไปต่อกันที่ Fisherman's Wharf นึกว่าเกี่ยวอะไรกับ คนตกปลา อ้าว มันเป็น เหมือน Aveneu สำหรับเดินเล่น มีส่วนจัดแสดง และคาสิโนอยู่ด้าน ใน  ^^''
ส่วนดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับในวันประกาศเสรีภาพ จากโปรตุเกส


เดินเล่น ถ่ายรูป ร้านค้าไม่ค่อยเปิดเท่าไร ไม่รู้ เจ๊ง หรือยังไม่เปิด ^^''

ทำอย่างกับ โคลอสเซียมที่อิตาลี เลย

ฝนตกปรอยๆ ตลอด เลยต้องคอยหลบฝนเป็นพักๆ  สุดท้าย เลยกลับไปตายรังที่ Senedo หาข้าวกินตอนเย็นดีก่า ^^'' เสียดายจังถ้าอากาศดีกว่านี้ มาเก๊ายังมีที่เที่ยวอีกเยอะ ที่อยากไป

ติดใจร้านเดิม Wong Chi Kei  คราวนี้ สั่งพวกข้าวมาทาน ไม่ผิดหวัง อร่อยมากๆ ^^

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ มาเก๊า ฮ่องกง ตอนที่ 1

หลังจากทริปต้นปีที่ไปเที่ยวมาเล๊ มาเล  กลางปีเราได้ตั๋วหางแดงราคาถูก ไป ฮ่องกง ใช้เวลาวางแผนกันไม่นาน ต้องขอขอบคุณ http://www.hongkongfanclub.com/  สำหรับแหล่งข้อมูลเที่ยวรอบนี้  ข้างใน มีรายละเอียดมากมาย หากใครสนใจเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ ไม่ผิดหวัง รวมถึง มีการเอา code ส่วนลดต่างๆ มาแจกให้กับเพื่อนๆด้วย

เอาหละ เรามาเล่าถึงทริปของเราคร่าวๆดีกว่าว่าเป็นยังไงบ้าง
เส้นทางการเดินทาง คือ ตั๋วเครื่องบินไปกลับ กทมฯ- ฮ่องกง จองได้ถูกเท่าไหร่ ก็ประหยัดเท่านั้น จำนวนวันเดินทาง สำหรับทริปนี้ คือ 6 วัน 5 คืน โดย คืนที่ 1-2 พักที่ มาเก๊า และที่เหลือพักที่ฮ่องกง โรงแรมประเภท 2 ดาว คุณภาพรับได้ สำหรับทริปนี้ได้ตั๋วราคา 3,500 แต่ซื้อ Insurance และก็น้ำหนัก กระเป๋าเพิ่มทำให้ราคาตั๋วตกอยุ่ที่ราวๆ 4,500 บาท 

ป.ล. ตั๋ว Airasia ปัจจุบันต้องจองที่นั่งกันแ
ล้วนะ ไม่งั้น ต่อให้ซื้อตั๋วพร้อมกันก็อาจจะได้ที่นั่งแยกกัน ก็เป็นได้ มีน้องแนะนำให้ทำ Web Check-in ก่อนจะมีโอกาสได้ที่นั่งติดกัน ^^


วันที่ 1   กรุงเทพ -> ฮ่องกง -> มาเก๊า


*** ตอนไปขอ bording pass กับโหลดกระเป่าขึ้นเครื่องให้ขอใบ โหลดกระเป๋า ซึ่งจะเป็นต้นขั้วของ Sticker ที่แปะอยู่บนกระเป๋าของเรา กับเจ้าหน้าที่ บอกเค้าให้แปะ กับตั๋วเดินทางเราเลย กันลืม เพราะเราจะต้องนำไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ท่าเรือ เพื่อให้ไปรับกระเป๋าเดินทางแทนเรา เพื่อส่งต่อไปยัง มาเก๊า ***
  

ขึ้นเครื่องแต่เช้า ด้วยหางแดง แลกตังค์จาก SuperRich เพราะได้ Rate 3.80 ถูกกว่า 10สตางค์ ไว้ Shopping และจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปคราวนี้ เป๋าแบนแน่ๆ >< เครื่องออกตอน 6:30 บิน 3 ชม.
 
เครื่องถึง HK ตอน 10:30 (เร็วกว่าไทย 1ชม.) ให้ต่อเรือไปมาเก๊าได้เลย ( แล้วทำไมไม่ซื้อตั๋วบินไปลง 
 มาเก๊า เลยหว่า 5555 ลืมตัวนึกว่าตั๋วไป-กลับจะถูกกว่า)

 จาก Terminal ที่ลงเครื่องจะต้องนั่ง Transit Link ภายในสนามบิน คล้ายรถไฟฟ้ามายัง terminal หลัก ให้สังเกตุป้ายนี้ "Ferries to Mainland/Macau" ตามป้ายต่อไปเพื่อไปซื้อตั๋วเรือ

สำหรับกฏระเบียบของผู้โดยสารที่ต้องการจะ Transit เรือไปมาเก๊า

               กรณีที่ผู้โดยสารไม่มีสัมภาระโหลดมากับเครื่อง ต้องมาซื้อตั๋วก่อนเรือออก 30 นาที
               กรณีที่2 ถ้าผู้โดยสารมีสัมภาระโหลดมาใต้ท้องเครื่อง ต้องมาซื้อตั๋วก่อนเรือออก 60 นาที 
 "พร้อมกับยื่นใบโหลดกระเป๋า" ให้จนท. Turbojet ไปรับกระเป๋าแทนเรา แล้วเอาขึ้นเรือให้เราได้เลย แล้วไปรอรับกระเป๋าหลังจากผ่าน ตม.ที่มาเก๊านู่นนน!!!! ^^

 
สำหรับค่าโดยสารเรือ Turbojet  สีแดง ราคาตั๋ว $215  ตั้งอยู่ที่ Level 5 Terminal 1  
รอบ 11:00, 12:15, 13:15 หรือเช็คข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.turbojetseaexpress.com.hk/ )
เราสองคนไปถึงตอน 10:30 ทำให้ไม่ทันเรือรอบ 11 โมง ต้องรอไปรอบ 12:15  ก็นั่งเล่นเนตรอที่สนามบิน หรือจะหาอะไรทานลองท้องก่อนก็ได้หากใครหิว


ถึงมาเก๊า แล้วจ๊า

 มาเก๊า เมืองแห่งคาสิโน

สาระน่ารู้  มาเก๊าตั้งอยู่ในเขตมณฑลกวางตุ้ง บนชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำเพิร์ล ทิศเหนือติดกับเมือง จูไห่ของมณฑลกวางตุ้ง มาเก๊าประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วน คือ คาบสมุทรมาเก๊า, เกาะไทปา, เกาะโคโลอาน และพื้นที่ถมทะเลขึ้นมาใหม่ เรียกว่า โคไท ซึ่งจะเชื่อมต่อเกาะไทปาและเกาะโคโลอาน เข้าเป็นพื้นที่เดียวกัน ด้วยมาเก๊าเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่เพียง 27.3 ตร.กม. (คาบสมุทรมาเก๊า 8.7 ตร.กม., ไทปา 6.3 ตร.กม., โคโลอาน 7.6 ตร.กม. และโคไท 4.7 ตร.กม.) ระหว่างมาเก๊าและไทปา เชื่อมถึงกันด้วย สะพาน 2 สะพาน คือ สะพานมาเก๊า-ไทปา ระยะทาง 2.5 .. และสะพานมิตรภาพ ระยะทาง 4.5 .. ซึ่งใช้เดินทางเข้าไปยังสนามบินมาเก๊าไดเลย 
            หลังจากโปรตุเกสได้ทำพิธีส่งมอบมาเก๊าคืนแก่จีน เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 1999 มาเก๊าก็ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “เขตปกครองพิเศษมาเก๊า” หรือ Macau, The Special Administrative Region of the People’s Republic of China ซึ่งหมายถึง มาเก๊ามี ระบอบการปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ กล่าวคือ มาเก๊าสามารถมีรัฐบาลและ ปกครองตนเอง ต่อไปได้เป็นระยะเวลา 50 ปี ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีน

            มาเก๊ามีสกุลเงิน ที่เรียกว่า “ปาตากาส์” หรือ MOP$ เงินดอลล่าร์ฮ่องกง เป็นที่ใช้กันแพร่หลายในมาเก๊า โดยมักจะใช้แลกเปลี่ยนในอัตรา 1 ต่อ 1 คือ หากมูลค่าสินค้าเท่ากับ 5 MOP$ ก็สามารถชำระเป็น 5 HK$ ก็ได้
เมื่อถึงท่าเรือที่ มาเก๊า  ก่อนลงเรือจะมีเจ้าหน้าที่แจกใบตม. ก็ให้กรอกด้วย เพราะเป็นการเข้าอีกประเทศหนึ่ง หลังจากผ่านด่าน ตม.แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่เอากระเป๋าเรามารออยู่ข้างๆ ลองสังเกตุดูถ้าไม่เห็นก็ถามเค้าได้ 

วันแรกไปถึงนี้ เราจะไปเที่ยวกันก่อนเลย ลากกระเป๋าไปขึ้นรถของ Casino ได้ฟรีๆ หากจะตามรอย ขอแนะนำให้ไป City of Dream ก่อนเลยนะค๊าบ รับรองประทับใจ ^^ เดินตามลูกศรน้ำเงินที่วาดไว้ให้นะ 
 ออกจากท่าเรือก็มี Pretty ของแต่ละคาสิโนมายืนชักชวน ให้เราหลงใหล แต่สำหรับทริปนี้เราวางแผนไว้แล้วว่าจะไปดูโชว์ที่ City of Dreams 

เมื่อถึง City of Dreams (http://www.cityofdreamsmacau.com/)  ให้ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อน จากนั้นมองหาป้ายบอกทางเดินไป The bubble เพื่อไปดูโชว์ Dragon's Treasure กัน ต้องขึ้นไปที่ชั้น 2 เพื่อซื้อบัตรเข้าชม ตกคนละ $30 หรือ 120 บาท  แต่ถ้าหากว่าเป็นแขกของโรงแรม หรือซื้อของภายในห้างครบ $100 สามารถนำใบเสร็จมาแลกตั๋วฟรีได้เลย
โชว์ Dragon's Treasure ที่สุดอลังการ ภายในเป็นลักษณะโดมทรงกลมขนาดใหญ่ ฉายหนัง 4D สุดยอดไปเลยย คุ้มๆๆ

 โชว์นี้ใครไปมาเก๊า ไม่ได้ดู จะบอกว่าเสียดายมาก ประมาณ 15 นาที เก็บภาพมาเป็นวิีดีโอด้วย เอาไว้ลง Youtube ให้ดูนะครับ ^^

เที่ยวเสร็จ ก็ปาเข้าไปบ่าย 2 แล้ว หิวจะแย่ ขึ้นไปกินข้าวชั้น บนของ City of Dreams มองเห็นฝั่งตรงข้าม Venetian ที่เที่ยวถัดไปของเรา ขอถ่ายรูปก่อนนะค๊าบบ อ้อ บริเวณทางเข้าของ City of Dreams จะมีนางเงือกคอยออกมาทักทายด้วย สวยไปอีกแบบ

ออกมาเก็บรูปข้างนอก ฝนก็ทำท่าจะตกซะแล้ว

จัดเต็มอ่ะ อิๆๆ ^^

เดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามก็ถึงแล้ว Venetian  เข้าไปด้านใน ฝากกระเป๋าเสร็จ พร้อมเที่ยวต่อ

ถึงแล้วค๊าบ Casino Venetian มีต้นแบบมาจาก เมืองเวนิส ในอิตาลี นี่แค่ทางเดินนะเนี่ย อลังการซะขนาดนี้
Solo เดี่ยว
ภายใน มีท้องฟ้า ปลอมให้เหมือนกลางวันตลอด ดีนะ ฝนไม่ตกเลย ภายในมีคลอง พร้อมเรือ กอนโดร่า เล่นซะเหมือนเวนิส ทริปที่เราเคยไปมาเลย แถมคนพายเรือยังเป็นสาวฝรั่งผมบรอน สวย ร้องเพลง โอเปร่า กล่อม ผู้โดยสาร ด้วยอีกต่างหาก 



มาถึงมาเก๊า ต้องอย่าลืมชิม ตั๋นทาร์ต ที่ร้าน Lord Stow ต้นตำรับในมาเก๊า มาเปิดสาขาที่ Venetian ละ ไม่ต้องหอบกันไปกินถึงร้านตำรับ  ตำแหน่งที่ตั้ง Lord Stow Bakery and Café  Shop 2119a Level 3 The  Grand Canal Shoppes 
ภายใน Casino  
หลังจากเดิน เที่ยวจนทั่วแล้ว ก็นั่งรถฟรีจากคาสิโน ของ venetian ซึ่งอยู่ทางฝั่ง West Lobby สังเกตุป้ายเพื่อไปลง Macao Pier ป้ายรถเมล์ ปลายทางสำหรับที่ัพักของเรา Ole London Hotel จุดเด่นๆหน้าป้ายรถเมล์คือท่าเรือ ตึกสีเีหลือง และตู้ไปรษณีย์ สีแด้งงง แดง

รถบัสของ Venetian จะรับส่งลูกค้าไปยังที่ต่างๆ รวมถึงโรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ด้วย ให้หารถบัสที่จะไปท่าเรือ ( Yoet Tung Pier  ) (ถ้าเดินออกมาจากHotel West Lobby ของ เดอะเวเนเชี่ยน คิวรถสายนี้จะอยู่ด้านขวามือสุด) หลังจากรถออกก็นั่งไปประมาณ 20 นาที รถจะผ่านวัดอาม่าอยู่ด้านขวามือ จากวัดอาม่าก็จะเลยไปประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึงท่าเรือที่รถคันนี้ไปจอดซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับโรงแรมมาเก๊า มาสเตอร์ครับพอรถจอดก็มองย้อนกลับไปด้านหลังนะครับ จะเห็นอาคารสีเหลืองอยู่อีกฟากถนนนะครับ ให้เดินข้ามถนนไปด้านข้างอาคารนี้จะมีถนนอยู่นะครับให้สังเกตอาคารสีเหลืองกับตู้ไปรษณีย์สีแดงอันใหญ่นี้นะครับ เดินเข้าไปในนี้จะผ่านโรงแรมเบสเวสเทิร์น ซัน ซัน ก่อนครับ แล้วถึงจะเป็น โรงแรม โอเล่ ลอนดอน ของเรา ถึงแล้วก็เข้าเช็คอินเลยนะครับ  Deposite ห้องละ $200


 รถบัส venetian


โรงแรม Ole London Hotel เหมือนเดิมจองผ่าน booking.com ได้ราคาสบายๆ ไม่ต้องมัดจำล่วงหน้า

หลังจากเข้าไปเก็บของ ล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปกินข้าวเย็น แนะนำให้เดินไปที่
Senado  Square หรือที่คนมาเก๊าเรียกว่า ซาหม่าโหลว
 ร้านแนะนำจากหนังสือ Won Chi Kei เส้นบะหมี่ เล็กๆ กับเกี๊ยวน้ำ ชิ้นโต อร๊อย อร่อย

หลังจากเติมพลังให้ท้องอิ่มกันแล้วก็ได้เวลาเดินเล่นกันเลย

เดินเล่นที่ Seneo Square ยามค่ำคืน ที่รวมแหล่ง Shopping และย่านวัฒนธรรม พร้อมกับของฝากของมาเก๊า ^^

 เดินตามถนนมาเรื่อย ก็จะเห็นโรงแรม ลิสบัว สูงเด่นขนาดใหญ่ใจกลางมาเก๊า ข้างๆเป็นคาสิโนเก่า เสร็จแล้ว ก็เดินลอดใต้ดิน ข้ามไปโรงแรม Wynn เพื่อดูน้ำพุ โชว์ ที่มีทุก 15 นาที เข้าไปข้างในก็มีโชว์ อีก ปกติ เป็นต้นไม้ ปีนี้ เป็นมังกรตัวเบื้อเริ้ม ผุดมาจากพื้น (รูป ประกอบ ไม่มีอ่ะ อิๆๆ )

Senedo Square เหมือนสยามแสควร์ บ้านเราอ่ะ แหล่งรวมวัยรุ่นของมาเก๊า เค้า

คาสิโน ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของ มาเก๊า Grande Lisboa ไม่ได้เข้าข้างในเลย น่าจะมีโชว์อะไรแจ่มๆ


สะพานไรไม่รู้ ข้างๆโรงแรม Wyn

 เสร็จแล้วก็กลับโรงแรม เป็นอันจบทริปวันแรก ของเรา ^^