วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ (Review: ฝรั่งเศส ตอนที่ 4 แวซาย ไอเฟล)


วันที่ 4 พระราชวังแวร์ซาย  หอไอเฟล โบสถ์นอร์ทเทอดรัม

วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในปารีสแล้ว รู้สึกว่าทำไมเวลาที่มีความสุขมันเดินเร็วจริงๆ ทั้งๆที่ยังมีที่เที่ยวอีกมากมาย เอาเป็นว่าเก็บไว้เป็น รอบ2 ก็แล้วกัน แต่วันนี้ใครที่มาถึงปารีสแล้วที่ๆไม่ควรพลาดเลยนั่นคือ การไปเยือนพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป นั่นคือพระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles) ตั้งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางกรุงปารีสไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะทางประมาณ 20 .. สร้างขึ้นโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีนายช่างสถาปนิก อัลเดรด เลอ นอสเตอร์ เป็นผู้ออกแบบ ลงมือสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1661 สร้างอยู่นานกว่า 30 ปี ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว  ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็นห้อง แต่ละห้องมีเครื่องประดับมีค่ามากมาย ทั้งวัตถุ และ ภาพเขียนศิลปะที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อที่สุด คือ ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors)  ที่เคยใช้ลงนาม เซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตร กับเยอรมัน ในคราวมสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้งฝรั่งเศส จึงต้องประกาศให้ปารีสเป็นเมืองปลอดทหารคือ ไม่มีทหารตั้งอยู่ ไม่มีการต่อสู้ใด ๆทั้งสิ้น 


การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ที่จตุรัสคองคอร์ท จากภาพจะเห็นถึงความกว้างใหญ่ของพระราชวัง ซึ่งส่วนที่เราเดินเป็นแค่จุดเล็กๆ บนตัว A เท่านั้นเอง



เส้นทางรถไฟไป พระราชวังแวร์ซาย

ตอนเช้าถ้าใครยังพอมีเวลาแนะนำให้ซื้ออาหารสำหรับมื้อเที่ยงไปนั่งกินในสวนของพระราชวังด้วย เอาละ เริ่มเดินทางจากสถานี
Gare du Nord หรือสถานีใกล้ที่พักของคุณด้วยรถไฟ RER สาย B สีฟ้า เปลี่ยนขบวนที่สถานี Saint-Michel Notre-Dame ไปนั่งรถไฟ RER สาย C สีเหลือง ไปลงสถานีปลายทาง Versallles-Rive Gauche   พระราชวังแวร์ซายส์เปิดเวลา 9:00-18:30  (ปิดวันที่ 5 เมษา และวันจันทร์ ) ดังนั้นถ้าไม่อยากรอคิวกันนานๆก็เผื่อเวลาให้มาถึงก่อนซักครึ่งชั่วโมง เมื่อมาถึงจะต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 4-5 ร้อยเมตรถึงจะถึงทางเข้า ระหว่างทางก็จะผ่านย่านร้านค้า ขายของที่ระลึก และก็จะมีร้าน Agency ขายตั๋วเข้าชมพระราชวัง ด้วย ซึ่งหากใครไม่อยากไปต่อคิวซื้อตั๋วข้างใน ก็ซื้อจากข้างนอกได้ราคาจะแพงกว่าเล็กน้อย ประมาณ 0.5-1 ยูโร
ถ่ายคู่ซักหน่อย ให้รู้ว่าเรามาด้วยกัน 







บริเวณด้านหน้าพระราชวัง ก็อลังการงานสร้างมากๆ  ประตูเป็นทองคำ  

 เมื่อมาถึงก็ต่อคิวเข้ารอชมพระราชวัง ซึ่งถ้าไปในช่วงเทศการก็ยาวใช่ย่อย ที่นี่จะมีการตรวจค่อนข้างเข้มงวด ห้ามนำขาตั้งกล้องเข้าไปด้วย แต่จะมีเจ้าหน้าที่รับฝากด้านหน้า ไม่ต้องห่วง แล้วขาออกเราค่อยมารับคืน   เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่แจกเครื่อง Audio Guide สำหรับแนะนำ หรือบรรยาย ภาพเขียน ต่างๆ ตามห้อง ซึ่งจะมีรหัสให้เรากด ตาม แล้วยกหูฟัง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
 


 จุดแรกที่ทุกๆคนจะเห็นก็คือ โถงใหญ่ ซึ่งใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ภายในราชวัง
 





ขึ้นมาเจอกับ โถงอีกครั้ง แต่เป็นชั้น 2 ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม ดูอลังการสมกับเป็นที่สำหรับกษัตริย์ จริงๆ




จากนั้นเราก็จะผ่านห้องต่างๆ ทั้งห้องบรรทม ห้องทรงงาน และ ห้องที่มีภาพประวัติ ต่าๆ ของกษัตริย์ ที่ผ่านๆมา 


ห้องบรรทม



และทีนี้ก็มาถึงไฮไลท์ ของที่นี่ก็คือ ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors)   ที่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟระย้า มากมาย เต็มเพดาน เห็นแล้ว




 จากนั้น ก็จะเป็นทางออกไปยัง สวนด้านหลัง มองผ่านกระจกออกไป ไกลสุดลูกหูลูกตา
 







ถึงตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว หากใครเริ่มรู้สึกหิวก็ออกมาหาทานที่ร้านอาหารด้านนอกบริเวณหน้าสถานีรถไฟ หรือใครที่เตรียมอาหารไปด้วย ก็จะได้บรรยากาศสุดโรแมนติก นั่งทานในสวนของพระราชินี สุดยอดไปเลยไม๊หละ
 หลังจากที่ทานอาหารอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว  ออกเดินทางกลับมาเที่ยวต่อในเมือง นั่นคือหอไอเฟล เราคงโฉบไปโฉบมากันหลายรอบแล้ว หอไอเฟลถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ หอไอเฟล (Tour Eiffel) เป็นหอคอยโครงสร้างเหล็กตั้งอยู่บนชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน สถาปนิกผู้ออกแบบคือ "กุสตาฟ ไอเฟล" หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น (โฮ พอๆกับตึกใบหยก2 บ้านเราเลย) ความงามของหอไอเฟลนั้น แตกต่างกันทุกช่วงเวลาหากได้มาในตอนกลางวันแล้ว  ลองมาดูในตอนค่ำคืนก็จะสวยและได้ความโรแมนติกอีกอารมณ์หนึ่ง
จากพระราชวังแวร์ซายเดินกลับมาที่สถานีรถไฟ เราแวะซื้อของฝากนิดหน่อยเพราะราคาค่อนข้างแพง แล้วมานั่งรถไฟ RERสาย C สีเหลืองเหมือนเดิม กลับมาลงที่สถานี Champ de Mars –Tour Eiffel  เมื่อเดินออกมาจากสถานีจะยังต้องเดินมาอีกเล็กน้อย ถึงจะเห็นหอไอเฟล เอาเป็นว่าเดินเรียบแม่น้ำมาเรื่อยๆรับรองไม่หลงแน่นอน



เส้นทางรถไฟไปหอไอเฟลจากแวร์ซาย

หอไอเฟล แบ่งจุดชมวิวเป็น 3 ชั้น โดยในแต่ละชั้นจะมีราคาค่าขึ้นแตกต่างกันไป ตามความสูง ปัจจุบันเราสามารถจองตั๋วขึ้นชมหอไอเฟลผ่านทางเว็บไซต์ได้แล้วที่ ( http://www.tour-eiffel.fr/teiffel/uk/  )
ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง
บุคคลทั่วไป
เด็กทั่วไป 12-24
ตั๋วลิฟท์ ไปชั้น 2  
8.10 EUR
6.40 EUR
ตั๋วลิฟท์ไปชั้นบนสุด (ชั้น 3)
13.10 EUR
11.50 EUR
ตั๋วเดิน (ขึ้นบันไดไปชั้น 2)
4.50 EUR
3.50 EUR



ความสูงและชั้นต่างๆของ หอไอเฟล 

ที่หอไอเฟลรับรองว่าถ่ายรูปกันไม่เบื่อเลยทีเดียว เพราะมีหลากหลายมุมที่ถ่ายได้ ไม่ว่าจะยืน ก้ม เงย นอน ตะแคง ถ่ายได้หมด อีกทั้งยังมีสวนให้เราได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอีกด้วย






หอไอเฟล ยามกลางวัน  



ภาพถ่าย จากยอด ไอเฟล  




หอไอเฟล ยามเย็น


หอไอเฟล ยามค่ำ 

หลังจากที่เราถ่ายรูปกันจนหนำใจบริเวณหอไอเฟลแล้ว ยามตะวันเริ่มตกดินแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะนั่งเรือบาตามูซ เพื่อล่องเรือชมสถานที่สำคัญๆริมสองฝั่งแม่น้ำแซน  ให้ข้ามถนนจากหอคอยปารีสมาที่ริมแม่น้ำ เดินลงไปจะเห็นท่าลงเรืออยู่ ซ้ายมือติดสะพาน Batomus Paris ราคาอยู่ที่ 13 ยูโรต่อคน เรือจะจอดแวะตามจุดสำคัญๆของปารีส อีกอย่างตั๋วนี้เป็นตั๋ววัน จะนั่งกี่รอบก็ได้ เส้นทางของเรือบาตามูซจะผ่านทั้งหมด 8 จุดด้วยกัน

เส้นทางเดินเรือ Batomus





หากว่ามีเวลาเราจะนั่งเรือชมก่อนซัก 1 รอบ ก็ได้ แล้วค่อยกลับมาลงที่ ท่า โบสถ์นอร์ทเทรอดาม  (Notre Dame) ให้เช็คเวลาของเรืออีกที   

โบสถ์ นอร์ทเทรอดาม (Notre-Dame) สร้างด้วยศิลปะแบบโกธิคที่ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีอย่างงดงาม ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับพิธีราชาภิเษก กษัตริย์นโปเลียนขึ้นครองราชย์ มีอายุเก่าแก่กว่า 800 ปี  สูง 69 เมตร  








รอบๆ โบสถ์ 





ภายในตัวโบสถ์ เข้ามาแล้วเหมือนถูกสะกด


ภาพ วาดโบราณของตัวโบสถ์

ภายในโบสถ์ จะกระจกสีของโบสถ์หรือ Rose window มีทั้งหมดสามอัน ทางเหนือจะเป็นอันที่เก่าแก่ที่สุด เพราะสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 13


 

ด้านบนของโบสถ์สามารถจะเดินขึ้นไปได้  

บริเวณด้านหน้าของโบสถ์ จะมีจุดที่เรียกว่า Point Zero บางคนเรียกว่า สะดือปารีส มีความเชื่อกันว่าถ้าขึ้นไปยืนแล้วอธิษฐานจะได้กลับมาปารีสอีกครั้ง เอ้า ถ้าอยากมากันอีกก็ห้ามพลาดเด็ดขาด (ถ้ามาฟรี จะยิ่งดีมากเลยนะ )



Point Zero




ตกค่ำก็เก็บบรรยากาศริมแม่น้ำ ก่อนกลับที่พัก  

วันนี้เป็นวันทิ้งท้าย ที่ปารีส แล้ว 4 วันที่ผ่านมาช่างรวดเร็วจริงๆ หลังจากหาทานข้าวเย็นกันเรียบร้อย ก็กลับไปพักเอาแรง แพ็คกระเป๋า เพื่อพรุ่งนี้จะได้เตรียมตัวเดินทางสู่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

จุดท่องเที่ยวอื่นๆที่น่าสนใจในปารีส
ถนน Moulin_Rouge เป็นแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ มีการแสดงโชว์ ร้านผับ บาร์ต่างๆ
จน Hollywood นำไปสร้างเป็นหนังที่โด่งดังมาแล้ว นั่งรถไฟไปลงสถานี Blanche


 Moulin_Rouge 


ย่านเมืองใหม่ Esplanade de La Defense  นั่งรถไฟไปลงสถานี La Defense






ตึก Centre Georges Pompidou    นั่งรถไฟสายไปลง Rambuteau



พิพิธภัณฑ์  Musee d’Orsay  นั่งรถไฟไปลงสถานี Musee d’Orsay




Opera garnier   นั่งรถไฟไปลงสถานี Opera




The Pantheon   นั่งรถไฟ RER ไปลงสถานี  Luxembourg










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น