เช้าวันสุดท้ายที่กรุงโรม อิตาลี วันนี้จะพาไปเที่ยวชม นครวาติกัน และมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และกลับมาเดิน Shopping กันย่าน บันไดสเปนและน้ำพุเทรวี่ การแต่งตัว วันนี้ขอให้เตรียมชุดที่สุภาพเพราะที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดมาก ห้ามใส่กระโปรง กางเกงขาสั้น หรือ เสื้อแขนกุด ก็คิดว่าควรจะให้เกียรติต่อสถานที่ เหมือนที่เค้ามาเที่ยววัดไทยนั่นแหละ
การเดินทางไปวาติกันสามารถไปได้ทั้งรถไฟ และรถเมล์ โดย ถ้าขึ้นรถไฟให้ขึ้นรถไฟสาย A เพื่อไปลงสถานี Ottaviano แต่หากที่พักอยู่ไกลจากสถานี ก็ต้องนั่งรถเมล์ไปโดยสามารถศึกษาวิธีการอ่านป้ายรถเมล์ได้จากท้ายเล่มป้าย รถไฟ Metro
แผนที่เมืองวาติกัน
วาติกัน ( Città del Vaticano ) แม้โดยทางการ รัฐวาติกันจะเป็นรัฐอิสระที่ปกครองตนเอง แต่ในทางปฏิบัติและในแง่ของโลกของนักท่องเที่ยวแล้ว วาติกันเป็นส่วนหนึ่งของโรม โดยเพียงข้ามไปทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำไทเบอร์เท่านั้น รัฐวาติกันเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นรัฐอิสระที่เล็กที่สุดในโลก มีพื้นที่เพียง 43 เฮคตาร์ จุดกำเนิดของรัฐวาติกันอยู่ที่หลุมฝังศพของนักบุญปีเตอร์ ผู้นำคริสต์ศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในคาบสมุทรอิตาลี หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ซึ่งต่อมาได้สร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ครอบทับ ใกล้ๆ กับมหาวิหารเป็นพระราชวังขององค์พระสันตะปาปาประมุขแห่งคริสต์จักร โบสถ์ซีสทีน และพิพิธภัณฑ์วาติกัน โดยมีกำแพงเมืองล้อมรอบอาณาเขตของรัฐแบ่งสัดส่วนออกจากพื้นที่ของอิตาลีอย่างชัดเจน
ธงประจำรัฐวาติกัน
เมืองวาติกัน เมื่อมองจากด้านบน
วาติกัน จากบนยอดโดม
วาติกัน ด้านหน้า
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ( Basilica di San Pietro) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งของคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิก ที่เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของ นักบุญปีเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกสิบสององค์ของพระเยซู มหาวิหารแห่งนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมล้ำค่าที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีผลงานของศิลปินดังๆอย่าง รูปปั้นแกะสลัก เพียต้า(Pieta) รูปสลักหินอ่อนพระแม่มารีอุ้มพระเยซูไว้บนตัก ผลงานของศิลปินเอก ไมเคิลแองเจโล เสาพลับพลาที่ออกแบบโดย เบอร์นินี และยอดโดมขนาดใหญ่ที่เคยเป็นสนามกีฬาเซอร์คัส วาติกัน ( Circo Vaticano) ในสมัยจักรพรรดิเนโร ผู้เหี้ยมโหดของโรมัน ว่ากันว่านักบุญปีเตอร์ถูกประหารและศพถูกนำไปฝังไว้ที่ริมกำแพงของสนามกีฬาในช่วงราวปี ค.ศ. 65 โดยสาวกได้แอบทำเครื่องบอกจุดฝังศพนั้นไว้ ครั้นเมื่อโรมันเสื่อมอำนาจลง และภายหลังจักรพรรดิได้หันมารับนับถือคริสต์ศาสนา จึงได้มีการสร้างวิหารเล็กๆ ขึ้นเหนือหลุมศพของนักบุญปีเตอร์ จนกระทั่งศตวรรษที่ 16 จึงได้เริ่มการสร้างมหาวิหารอันใหญ่โตงดงามขึ้นแทนที่ โดยสันตะปาปาจูลิอุสที่ 2 การก่อสร้างมหาวิหารอันยิ่งใหญ่งดงามนี้ใช้เวลาถึง 150 ปี
วาติกัน ในยามค่ำคืน
ตัวโบสถ์เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 - 18.00 น. ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ส่วนอื่นๆ ภายในมหาวิหารจะมีเวลาเปิดปิดที่ต่างกันไป และต้องเสียค่าใช้จ่ายแตกต่างกันด้วย
เทศกาลที่สำคัญ
มีนาคม - เมษายน ช่วงต่อระหว่าง 2 เดือนนี้คือ ช่วงเวลาของพิธีกรรมและเทศกาลที่เกี่ยวเนื่องกับอีสเตอร์ ในเมืองต่างๆ จะมีการเดินพาเหรด Good Friday หรือวันอาทิตย์อีสเตอร์ ตลอดสัปดาห์อีสเตอร์จะมีการเฉลิมฉลอง พระสันตะปาปาจะเสด็จออก และมีกระแสรับสั่งถึงคริสตศาสนิกชนในวันอาทิตย์อีสเตอร์ที่วาติกัน
พฤศจิกายน – ธันวาคม ในคืนวันที่ 24ธันวาคม สมเด็จพระสันตะปาปาจะเสด็จออกให้เฝ้าจากบน พระระเบียงที่วาติกัน เพื่อประกบอพิธีมิซซา
ในการเช้ามหาวิหาร จะต้องต่อแถวและมีการตรวจอย่างละเอียดจากเจ้าหน้าที่เหมือนเราเข้าสนามบินยังไง ยังงั้น
ตรวจตราอย่างเข้มงวดบริเวณทางเข้า ของวาติกัน
ทางวาติกันเองได้จัดตั้งกองทหารเล็กๆ ขึ้นมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของพระสันตปาปา เรียกว่า Swiss guards มีประมาณร้อยนาย ทหารพวกนี้เป็นชาวสวิสทั้งหมด กองทหารนี้จัดตั้งขึ้นราวคริสตศตวรรษที่ 15 และทหารในยุคปัจจุบันก็ยังคงแต่งกายในเครื่องแบบย้อนยุคเหมือนในสมัยยุคกลาง
หน่วยทหาร Swiss Guard ของวาติกัน
เข้ามาด้านในจะเป็นโถงขนาดใหญ่ ซึ่งมีทั้งแท่นประกอบพิธีมิซซา ภาพเขียนบนผนัง และรูปปั้นแกะสลักมากมาย ด้านขวามือจะพบกับรูปแกะสลักอันมีชื่อชื่อเสียงของมิเคลันเจโล่ชื่อว่าเพียต้า (Pieta) ซึ่งเป็นรูปของพระแม่มารีประคองร่างของพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์บนกางเขนไว้บนตัก เป็นรูปแกะสลักซึ่งสื่อถึงอารมณ์ความรักของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง
รูปปั้น เพียต้า
ศาลาบัลดาคีโน (ฺBaldacchio) ศาลาที่อยู่กลางมหาวิหารนี้ เป็นฝีมือของ แบร์นินี่ มีความสูง 29 เมตร เป็นเเท่นบูชาสำหรับพระสันตะปาปาทำพิธี ว่ากันว่าด้านล่างของศาลาเป็นที่ฝังศพนักบุญปีเตอร์
ภาพ ศาลาบัลดาคีโน
ส่วนอื่นๆในวิหาร
รูปหล่อบรอนซ์นี้คือ นักบุญปีเตอร์
ลานประกอบพิธีมิซซา
ห้องสารภาพบาป
อ่างน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่จะมีขวดเล็กๆจำหน่ายให้นำมากรอกกลับไปด้วย
รายชื่อผู้นำศาสนา ที่มีมาทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันคือ จอนห์ ปอ ที่ 2
เดินออกมาด้านนอกย้อนกลับมาทางเดิมตรงหัวมุมถนน Piazza Risorgimento เลี้ยวซ้ายก็จะไปพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican museum) ข้อมูล (http://www.museivaticani.va/) เสียค่าเข้าดู 15 ยูโร เป็นที่รวมของงานศิลปะระดับโลกมากมาย มีทั้งมัมมี่และงานประติมากรรมจากอียิปต์ รูปแกะสลักหินอ่อนจากยุคกรีกโรมันโบราณ รวมทั้งภาพวาดแบบเฟรสโก้จากศิลปินชื่อดังโดยเฉพาะมิเคลันเจโลและราฟาเอล
ภาพวาดเฟรสโก้ภาพนี้เป็นหนึ่งในผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ชื่อว่า School of Athens เป็นผลงานของราฟาเอล เขาวาดภาพนี้ขึ้นมาจากจินตนาการโดยการนำนักคิด นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของกรีก มารวมไว้อยู่ในภาพเดียวกัน เช่น พลาโต้ อริสโตเติ้ล ยุคลิด พิธากอรัส พโตเลมี อาร์คิมีดิส ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะอยู่คนละยุคคนละสมัย แต่มารวมกันได้ในจินตนาการของราฟาเอล ผู้ซึ่งวาดภาพนี้ในวัยหนุ่มเพียง 27 ปี
ภาพ School of Athens
แต่ห้องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือห้องซิสทีน (Sistine Chapel) ซึ่งใครที่มาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ต่างก็ต้องการชมห้องนี้ให้ได้ ห้องนี้ใช้เป็นที่ประชุมของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกพระสัตปาปาองค์ต่อไป และจะไม่มีใครออกจากห้องนี้จนกว่ากระบวนการเลือกจะเสร็จสิ้นลง แต่สิ่งที่คนเข้ามาชมคือภาพวาดเฟรสโก้ฝีมือของมิเคลลันเจโล พระสันตปาปาจูเลียสที่สองได้ว่าจ้างศิลปินชาวฟลอเรนซ์ผู้นี้ให้วาดภาพเฟรสโก้บนเพดานของห้องนี้ มิเคลันเจโลใช้เวลาถึง 4 ปีกินนอนอยู่บนนั่งร้านเพื่อวาดภาพปูนเปียกเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปฐมกาล (Genesis) ตั้งแต่การสร้างโลก สร้างมนุษย์เพศชาย (Adam) สร้างมนุษย์เพศหญิง (Eve) จากซี่โครงของผู้ชาย อีฟทรยศต่อพระเจ้าจนถูกขับออกจากสวนอีเดน และภาพน้ำท่วมโลก รวมทั้งหมด 9 ภาพ
ห้องซีสทีน (Sistine Chapel)
รูปที่ออกจะคุ้นตาที่สุดคือรูป The Creation เป็นฉากที่พระเจ้าสร้างอาดัม มนุษย์คนแรกขึ้นมา มองเห็นไหมครับว่าอยู่ตรงไหนในรูปข้างบน
The creation
เมื่อออกมาจากพิพิธภัณฑ์จะมีบันไดวน ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของที่นี่เช่นกัน
บันไดวนที่พิพิธภัณฑ์ วาติกัน
จะพบว่าเราจะออกมายังด้านนอกมหาวิหารอีกครั้ง ทางด้านขวามือจะมีที่ส่งไปรษณีย์อยู่ด้วย ถ้าใครชอบก็อย่าลืมแวะส่งโปสการ์ดสวยๆ เพื่อเอาตราประทับกลับมาให้คนที่บ้านด้วยนะ (ส่งให้ตัวเองก็ได้)
ส่งโปสการ์ดจากวาติกัน
จากนี้ไปจะต้องเดินกันค่อนข้างเยอะเลย เมื่อออกจากด้านหน้าวาติกันมายังถนนเรียบแม่น้ำ จะเห็นเหมือนป้อมปราสาทอยู่ซ้ายมือ ที่ชื่อว่า Castel Sant'Angelo ถึงจะไม่ได้อยู่ในกำแพงวาติกัน แต่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาจักรของวาติกันตามสนธิสัญญาที่มุสโสลินีได้ให้ไว้ จะมีทางเดินลับเชื่อมระหว่างปราสาทแห่งนี้กับพระราชวังของพระสันตปาปาเพื่อเอาไว้หลบภัยหากศัตรูคิดจะมาจับตัวพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ ถ้ามีเวลาและอยากจะแวะชมก็ต้องเผื่อไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
ภาพปราสาท Castel Sant’s Angelo
เดินข้ามแม่น้ำมาตามถนนด้านหน้าปราสาท (จุด A) เข้าตรอกซอกซอย ถึงตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว เราจะไปแวะกินพิซซ่า Original แถวจตุรัสนาโวนา (Paizza Navona) (จุด B) จตุรัสนาโวนาเป็นศูนย์รวมของสารพัดสิ่ง ทั้งร้านอาหาร นักดนตรี นักมายากลข้างถนน ศิลปินวาดรูปเหมือน และที่สำคัญคือนักท่องเที่ยว เดิมทีที่ตรงนี้เป็นสนามกีฬาของพวกโรมันเอาไว้แข่งม้า ถนนที่อยู่รอบๆ คือ ลู่วิ่งของม้า บริเวณนี้มีน้ำพุที่สำคัญ 3 อัน ผลงานของศิลปินนักแกะสลักชื่อดัง Gian Lorenzo Bernini ตรงกลางลานจะเห็นเสาโอบิลิสก์ (Obelisk) รอบๆ เสาจะเป็นน้ำพุแห่งสี่มหานที (Fountain of the Four Rivers) ซึ่งแต่ละมุมจะมีรูปปั้น ซึ่งแทนแม่น้ำใหญ่จาก 4 ทวีป ได้แก่ คงคา ดานูป ไนล์ และพลาต้า
แผนที่ ไปจตุรัสนาโวนา
อาหารเที่ยงวันนี้
จตุรัสนาโวนา
เดินต่อไปอีกนิด จะพบกับ Piazza della Rotonda อยู่ด้านหน้าวิหารแพนเธออน ( The Pantheon ) สร้างขึ้นในช่วง 27 ปีก่อนคริสตกาลโดย Marcus Agrippa โดยเลียนแบบศิลปะกรีก The Pantheon ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในปัจจุบันนั้น ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 2 นอกจากสภาพที่ยังคงไม่ผุพังไปตามกาลเวลาแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างก็คือ การออกแบบอาคารให้มีความกว้าง 142 ฟุต และสูง 142 ฟุตเช่นกัน มีประตูทางเข้าโลหะสีทองบรอนซ์ที่มีน้ำหนักถึง 20 ตัน จุดเด่นที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ การออกแบบโดมด้านบนของอาคารทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งไมเคิล แองเจลโลเอง ก็ยังทำการศึกษาสถาปัตยกรรมของโดมแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะออกแบบหลังคาโดมของโบสถ์ St. Peter's แห่งนครวาติกัน เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ เวลา 8.30 - 19.30 น. ยกเว้นวันเสาร์ ที่จะเปิดเวลา 9.00- 18.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.greatbuildings.com/buildings/Pantheon.html
จตุรัส Piazza della Rotonda
ภายในวิหาร Pantheon
Hilight ของที่นี่อีกจุดหนึ่งคือ Raphael's Tomb ซึ่งอยู่ภายในวิหาร Pantheon
พยายามหาทางออกไปยังถนนใหญ่ ที่ชื่อ Corso แถวนี้จะมีร้านค้า ร้าน Shopping เยอะแยะ เลี้ยวขวาที่ถนน Delle Muratte เดินไปนิดเดียวก็จะพบกับน้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) (จุด C) ผลงานมาสเตอร์พีซของเบอร์นินี ที่มาของเสียงเพลง “ทรีคอยน์ อิน เดอะ ฟราวด์เท่น” ที่โด่งดังในอดีตชมความสวยงามของภาพแกะสลักหินอ่อนบริเวณน้ำพุ ด้วยรูปปั้นหินอ่อนของเนปจูนที่ทรงนั่งอยู่บนรถม้าติดปีก เนปจูนเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำของชาวโรมันโบราณ ที่น้ำพุแห่งนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาโยนเหรียญกัน โดยจะยืนหันหลังให้น้ำพุ แล้วกลั้นหายใจโยนเหรียญข้ามหัวใหล่ลงไปในบ่อน้ำพุ เชื่อกันว่าคนที่ทำอย่างนี้แล้วจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง และที่บริเวณน้ำพุนี้งดงามทั้งกลางวันกลางคืน ช่วงกลางวันจะมีบรรยากาศแจ่มใส ส่วนช่วงกลางคืนเมื่อเปิดแสงไฟส่องก็จะมีความงดงามไปอีกแบบหนึ่ง
น้ำพุเทรวี่
เดินกลับออกมายังถนน Corso เดินต่อขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาเจอแยกซึ่งตรงไปก็จะเป็นถนน Via del Corso (ถนน Corso เดิม) แต่จะเล็กกว่า ตรงไปเรื่อยๆ จนออกมาเจอถนนใหญ่อีกครั้ง เลี้ยวขวาไปตามถนน Via del Condotti แถวนี้จะเป็นย่านสินค้าแบรนเนม ตลอดทาง ตรงไปจะพบกับสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสุดท้ายที่จะพาไปชมกันในวันนี้ก็คือ “บันไดสเปน”(Spanish Steps) (จุด D) บันไดสูงที่ทอดยาวอยู่ระหว่างจัตุรัสสองแห่งคือ Piazza di Spagna และ Piazza Trinita dei Monti บันไดแห่งนี้ถือเป็นบันไดที่กว้างที่สุดและยาวที่สุดในทวีปยุโรป มีทั้งหมด 138 ขั้นด้วยกัน เหตุที่เรียกว่าบันไดสเปนนั่นก็เพราะเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าสถานทูตสเปนตั้งอยู่บริเวณบันไดนี้นั่นเอง ที่นี่มักจะมีนักท่องเที่ยว รวมถึงหนุ่มสาวชาวโรมมานั่งพักผ่อนพูดคุยกัน และบริเวณถนนที่อยู่ตรงกับบันไดนั้นก็ยังเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าหรูๆ จำพวกเสื้อผ้ามียี่ห้อและเครื่องประดับราคาแพง หากใครมีสตางค์อยากจะซื้อหากันก็ตามสบาย หรือจะเพียงใช้วิธีวินโดว์ ช้อปปิ้งเอาก็ได้รับความสุขเหมือนๆ กัน
แผนที่ไปยัง Spanish Step
ถนนมุ่งหน้าไป Piazza di Spagna ผ่านย่าน Shopping
Spanish Step
ตกหัวค่ำแล้วการเดินทางกลับโดยรถไฟ (Metro) โดยลงสถานี Spagna หรือ Barberini ก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆ หรือถ้าเป็นรถบัส ก็เลือกที่วิ่งกลับมาลงที่สถานี Rome Termini เพื่อกลับที่พัก วันนี้ต้องแพ็คกระเป๋าเก็บให้เรียบร้อย ของที่ต้องการจะเคลมภาษีคืน (Tax Refund) ให้เก็บไว้ในถุงด้านนอก อย่าพึ่งแกะ เพราะต้องนำไปโชว์ให้เจ้าหน้าที่ดูด้วยในวันพรุ่งนี้
ขอบคุณครับ เดี๋ยวขอเอาไปเขียนรายงานนะครับ
ตอบลบกะลังจะได้ไปตามรอยพี่กล้าแล้วค่า ^^
ตอบลบเที่ยวให้สนุกนะครับ ดีจังที่ข้อมูลเราพอมีประโยชน์กับคนอื่นบ้าง ^^
ตอบลบขอขายตั๋วเข้า Vatican Museum 4 ใบ ลดให้ด้วย
ตอบลบผมซื้อตั๋วเข้า Vatican Museum ซ้ำไป 4 ใบ ช่วงกลางเดือน พย
ซื้อตั๋วราคาใบละ 16+4 =20 ยูโร (ประมาณ 20*39= 780 บาท, 4 ใบ 3120 บาท)
ขายต่อใบละ 500, 4 ใบ 2000 บาท ครับ
ต้องการขายให้ใครที่จะไปในปี 2017 นี้ครับ
ระบบอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อผู้เข้าขมและวันเวลาได้ 1 ครั้ง
ท่านไหนสนใจติดต่อไลน์ไอดี chawinch
รบกวนระบุวันที่จะไป ผมจะเปลี่ยนตั๋วเป็นชื่อใหม่และวันที่ใหม่ทั้งหมด
จากนั้นส่งพาสเวิดให้คนซื้อล็อกอินเข้าไปเช็คว่าถูกต้อง แล้วค่อยจ่ายผมก็ได้ครับ
ถ้าไม่มีใครซื้อเห็นจะต้องไปเร่ขายหน้าที่ขายตั๋ว -_-''