วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ (Review: อิตาลี ตอนที่ 1 เวนิส)


อิตาลี (Italy)



ข้อมูลทั่วไป
อิตาลีหรือสาธารณรัฐอิตาลีตั้งอยู่ตอนใต้ของทวีปยุโรป มีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเล
เมดิเตอร์เรเนียน ล้อมรอบด้วยทะเลในทุกๆ ด้าน ยกเว้นทางตอนเหนือ มีกรุงโรมเป็นเมืองหลวง ประเทศอิตาลีมีประเทศอิสระอยู่ 2 ประเทศคือ ซานมาริโนและนครรัฐวาติกัน ใช้ภาษาอิตาลีเป็นภาษาราชการ อิตาลีใช้เงินสกุลยูโร

ภูมิอากาศ ฤดูกาล
อิตาลีมีทั้งหมด 4 ฤดู คือ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง แม้อิตาลีจะอยู่ในเขตอบอุ่น แต่จริงๆ แล้ว ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นคาบสมุทร โดยส่วนบนติดกับเทือกเขาแอลป์ ทำให้อิตาลีมีภูมิอากาศที่หลากหลาย อาทิ ทางตอนเหนือจะอากาศเย็น มีหิมะตกในช่วงหน้าหนาว และร้อนจัดในช่วงหน้าร้อน ส่วนทางใต้อากาศจะอบอุ่นตลอดทั้งปี มีลมจากทวีปแอฟริกาพัดพาเอาความร้อนและความชื้นเข้ามาในช่วงฤดูร้อน

อาหารการกิน
อาหารอิตาเลียนได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่โดดเด่นที่สุดของอาหารชาติตะวันตก และยังมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เพราะมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์และหลากหลาย เช่น พวกพิซซ่า พาสต้าต่างๆ และยังมีขนมหวาน อย่าง ทีรามิสุ หรือทาร์ตไส้ต่างๆ ก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน
สำหรับการเดินทางใน Italy สามารถใช้รถไฟในการเดินทางข้ามเมืองได้เกือบทั้งหมด แต่ควรจะทำการซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้า เพราะราคาจะถูกกว่าซื้อที่หน้าสถานี ซึ่งจะมีส่วนลด แต่ข้อเสียของตั๋วประเภทนี้คือไม่สามารถคืน (Refund) หรือเปลี่ยนได้ ดังนั้นต้องแน่ใจในกำหนดการวันเดินทางก่อน จึงค่อยซื้อ (ดูข้อมูลการได้จาก หัวข้อการซื้อตั๋วรถไฟของ Italy)

Note: สถานีรถไฟในอิตาลี ไม่ค่อยมีบันไดเลื่อน หรือลิฟท์ไว้คอยบริการ ดังนั้นจะต้องเตรียมฟิตร่างกายดีๆในการลาก ยก หรือแบกกระเป๋าขึ้นลงชานชาลาต่างๆ อีกทั้ง รถไฟในอิตาลี จะมีเลขตู้ และเลขที่นั่ง ระบุด้วยหากจองผ่าน Internet ซึ่งตู้รถไฟ ที่อิตาลี ยาวมากกกก (เน้นว่ายาวจริงๆ) และตั๋วที่จองผ่าน Internet ส่วนใหญ่จะอยู่ตู้ท้ายๆ ทำให้ต้องเดินกันไกล พอสมควร

 วันที่ 10 Interlaken -> เวนิส Venice
เวนิส (Venice) หรือเวเนเซีย (Venezia) เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศ ได้รับฉายาว่าราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic) เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water) เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light) ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนกว่า 118 เกาะเข้าด้วยกัน มีสะพานเชื่อมมากกว่า 400 แห่ง  มีคลองที่กว้างที่สุดไหลผ่านตรงกลางของเกาะเรียกว่าแกรนด์คาเนล (Grand Canal) ทำให้มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอย่างยิ่งในเรื่องความโรแมนติก การคมนาคมของที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองที่ใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน  โดยมีเกาะซานมาร์โค เป็นศูนย์กลาง จุดท่องเที่ยวสำคัญๆ อาทิ จัตุรัสเซนต์มาร์ค เป็นที่ตั้งของโบสถ์เซนต์มาร์คเ สร้างด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์  สะพานเรียลอัลโต้ ที่เป็นผลงานของศิลปินเอกไมเคิลแองเจโล  ของที่ระลึกและสินค้าพื้นเมืองที่โด่งดังของ เวนิส อาทิ
  • หน้ากากแฟนซี เวนิสนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของเทศกาลคาร์นิวัล จึงมีหน้ากากแฟนซีหลากแบบหลายสไตล์ให้เลือกมากมาย ประดับประดาด้วยวัสดุสวยงาม เหมาะที่จะซื้อเป็นของฝาก
  • แก้วเป่าจากโรงงานเป่าแก้วมูราโน จัดเป็นงานฝีมือที่มีชื่อเสียงของเวนิส มีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่
    เครื่องประดับชิ้นเล็ก เครื่องแก้ว กรอบรูป แจกัน ฯลฯ
  • ลูกไม้บูราโน มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยความประณีตและความพิถีพิถัน มีให้เลือกตั้งแต่ผ้าปูโต๊ะ ม่านหน้าต่าง และผ้ารองจาน ฯลฯ
เทศกาลที่น่าสนใจ
  • ช่วงปลายเดือนมกราคมต่อต้นกุมภาพันธ์ จะมีงานเทศกาลคาร์นิวัลตามเมืองต่างๆ ที่โด่งดังที่สุดคือที่เวนิซ กินเวลายาวนาน 2 อาทิตย์ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การแต่งกายแฟนซีและสวมหน้ากาก
  • งานเทศกาลซาน มาร์โค ที่เวนิส ในวันที่ 25 เมษายน มีการแข่งเรือกอนโดลาเป็นไฮไลต์
ออกเดินทางแต่เช้า จากเมือง Interlaken West ไปเปลี่ยนขบวนที่สถานี Spiez เพื่อต่อมาลงยังสถานี Brig โดยใช้บัตร Swiss Pass ซึ่งหากซื้อตั๋วปกติ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ CHF40 ซึ่งเราไม่ต้องเสียตังค์เนื่องจากใช้สิทธิสวิสพาส


ตารางเดินรถไฟ Interlaken West ไป Brig

สถานี Brig เป็นสถานีสุดท้ายที่อยู่ชายแดนของประเทศสวิส จากนั้นค่อยใช้ตั๋วรถไฟที่ซื้อออนไลน์มาจาก Brig วิ่งต่อไปยัง Venice โดยรถไฟมีหลายประเภท แต่ที่แนะนำจะเป็น แบบ Euro City (EC)  ซึ่งราคาตั๋วไม่แพง ใช้เวลาประมาณ  5 ชั่วโมง ในการเดินทาง

ตารางเดินรถไฟ จาก brig ไป Venice ด้วย Euro City


 ( ในกรณีที่ตั๋วรถไฟแบบประหยัดที่จองผ่านเว็บไซต์การรถไฟสวิสเต็ม อย่างที่บอกว่า ตั๋วรถไฟข้ามประเทศ จะมีผุ้โดยสารค่อนข้างมาก ให้ลองทำการเช็คตั๋วรถไฟจากเว็บของ Italy แทน อาจจะมีโควต้าตั๋วราคาถูกสำหรับผู้โดยสารฝั่งอิตาลีเหลืออยู่  แต่เราจะต้องนั่งรถไฟจากสถานี Brig  ไปต่อรถไฟที่สถานี Domodossola  ซึ่งเป็นสถานีแรกในฝั่ง อิตาลี เสียก่อน) ดูวิธีการจองตั๋วได้จากบทการซื้อตั๋วรถไฟ

กรณีที่ต้องไปขึ้นรถไฟที่ Domodossola



ตารางเดินรถไฟ สถานี Brig สวิส ไปยังสถานี Domodossola อิตาลี 

ดังนั้น ถ้าในช่วงระหว่างเปลี่ยนสถานี Brig -> Domodossola อาจจะ มีการยืน แต่ก็เพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น  ส่วนตั๋วที่เราซื้อจาก สถานี Domodossola -> Venice จะมีที่นั่ง (Seat) และตู้ ( Carriage )  ระบุไว้ ซึ่งเมื่อขึ้นไปบนรถไฟแล้วหากเห็นใครนั่งอยู่ ก็ไปบอกเค้าได้ว่า เราจองตั๋วไว้ เค้าก็จะลุกให้เอง  สำหรับการเดินทางด้วยตั๋วราคาประหยัดนี้ จะใช้เวลาประมาณ  5 ชั่วโมง เช่นกัน


เวลาเดินรถไฟ จาก Domodossola ไป Venice  

Tips ในการจองตั๋วผ่าน Internet ราคาจะถูกกว่า ซื้อที่ตู้ อัตโนมัติ ที่สถานี (Self Ticket)  ดังนั้นหากเป็นตั๋วรถไฟ ข้ามเมืองแนะนำให้ซื้อไว้ก่อนล่วงหน้า หลังจากที่ทราบกำหนดการเดินทางที่แน่นอน
เส้นทางนี้จะผ่าน เมืองมิลาน (Milano) ด้วยซึ่งในทริปนี้เราไม่ได้วางแผนเที่ยว แต่หากใครสนใจจะเพิ่มทริปเข้าไปในแผนก็สามารถแวะเที่ยวได้ โดยให้แวะเที่ยวมิลานก่อน ไปเวนิส เพื่อจะได้ไม่ต้องวกกลับมาอีกครั้ง

สถานี มิลาน อีกสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจ


ตามแผนการของเรา เมื่อถึง Venice จะประมาณ บ่าย3 โมง สถานีรถไฟชื่อ Santa Lucia (S.Lucia)
ให้ทำการเช็คอิน ให้เรียบร้อย โดยโรงแรมที่แนะนำคือ  
โรงแรม Hotel Stella Alpina
ระดับ 2 ดาว
Feedback 7.9
ราคา  Double Room 85 ยูโร
ต้องขอบอกว่าโรงแรมนี้เต็มเร็วมาก ต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียว เพราะว่าเป็นโรงแรมที่ใกล้กับสถานีรถไฟมากที่สุด อยู่ในย่านร้านอาหาร เดินเพียงไม่กี่ก้าวจากสถานีเท่านั้นเอง  ห้องพักก็สะดวกสบาย รวมกับอาหารเช้าที่กินไม่อั้น โรงแรมจัดได้สวยงาม และราคาก็ไม่แพง (โปรโมทให้ เพราะว่าประทับใจจริงๆ )


ภาพ แผนที่โรงแรม Hotel Stella Alpina

หลังจากที่เก็บสำภาระ เรียบร้อยก็เตรียมตัวออกเที่ยวได้ อย่าลืมขอแผนที่ จากโรงแรมก่อนด้วย เพราะที่นี่ตรอกซอกซอย เป็นเหมือนเขาวงกต  ที่หน้าสถานีรถไฟ จะมีเรือเมล์ บริการ โดยมีค่าโดยสารดังนี้ 

สถานีรถไฟหลักและท่าเรือ

ตารางราคาตั๋วเรือที่เวนิส   

อธิบายจากตารางได้ดังนี้  ตั๋วเที่ยวเดียว มีเวลา 60 นาที พร้อมกับสัมภาระ 1ใบ ราคาจะอยู่ที่ 6.5 ยูโร และเริ่มแบ่งเป็นตั๋ว 12 ชั่วโมง 24 ชั่วโมง (ตั๋ววัน) 36 ชั่วโมง และมีจนถึงตั๋วสัปดาห์ที่มีราคาอยู่ที่ 50 ยูโร ซึ่งดูแล้วถ้าเป็นตั๋วเที่ยวเดียวคงจะไม่คุ้ม  ข้อมูลและเส้นทางการเดินเรือ สามารถเช็คได้จาก (http://www.actv.it/)


เราสองคนตัดสินใจเดินด้วยเท้า เพราะอยากชมบรรยากาศของเวนิส เดินผ่านตามซอก ออกตามซอย ต่างๆ จนจำเส้นทางไม่ได้ก็มี ดังนั้น ถ้าจะให้เดินตามรอยกันแล้วหละก็ คงจะอธิบายไม่ถูกเช่นกัน แต่เอาเป็นว่า เมื่อไปถึงเวนิส สามสิ่งหลักๆที่ห้ามพลาดก็คือ


แผนที่ Venice



แผนที่ Venice ดูแล้วจะเหมือนปลาตัวใหญ่ๆเลยเนอะ
1  สะพาน  เวนิสเกิดจากการเชื่อมกันด้วยสะพานหลายร้อยสะพาน แต่มีสะพาน 3 จุดที่เป็นสะพานใหญ่ใช้เชื่อมเกาะบริเวณ แกรนเคอร์เนล นั่นคือ  สะพานปอนเต (Ponte dei Scalzi) สะพานเรียลอัลโต้  (Rialto) สะพานอะคาดีเมีย (Accademia)
เริ่มเดินออกจากที่พัก หรือเริ่มจากสถานีรถไฟ Santa Lucia เพื่อจะไปยังจตุรัส San Marco เราก็จะพบสะพานแรกอยู่ด้านหน้า นั่นคือ สะพาน ปอนเต จุด ที่คู่รักมักจะมาถ่ายรูป และคล้องกุญแจแห่งรักเอาไว้ที่สะพาน (เหมือนยังกะในหนัง แต่ไม่เจอใครเอาเลื่อยมาเลื่อยกุญแจออกนะ 555 )  งานนี้ไม่รู้จะมีใครเอากุญแจล๊อคกระเป๋า มาใช้ขัดไปก่อนรึป่าว จากนั้นเดินข้ามมายังเกาะ Santa Croce ลัดตามตรอกซอกซอยต่างๆ ผ่านร้านไอศครีม เกลาโต้ (Gelato) หลายร้านก็อย่าพลาดที่จะแวะชิมกัน สนนราคาก็ไม่แพง เพราะเค้กกับกาแฟหนึ่งแก้วราคาประมาณ 2.5 ยูโร หรือ 100 บาทเท่านั้นเอง (ถูกกว่าบ้านเราเป็นไหนๆ ) ร้านค้าบริเวณนี้มีทั้งของที่ระลึก และของพื้นเมือง ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีสไตล์ต่างๆกัน ตามคลองเล็ก คลองน้อย ก็จะมีให้บริการเรือกอนโดล่า หากคู่รักคนไหนสนใจอยากจะทดลองนั่ง ก็เตรียมสตางค์ไว้ด้วย
 ถ่ายจากสะพาน ปอนเต 

กุญแจแห่งรัก เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็มีเนอะ




บรรยากาศตรอก ซอกซอยในเวนิส

ตากผ้าก็ต้องตากบนตึกแบบนี้

กริ่งหน้าบ้าน ทำซะสวยเชียว  
คู่รักนั่งเรือกอนโดร่ารอบเกาะ

 ถ้าหิวก็แวะกินอาหารต้นตำรับได้เลยกับ พิซซ่าหน้าต่างๆ 


สัญลักษณ์ของเวนิสอีกอย่างคือหน้ากาก มีวางขายตามร้านของที่ระลึก 




ของกินอีกอย่างที่ห้ามพลาด ไอศครีมเกลาโต้
 เดินต่อมาเรื่อยๆจะเข้าสู่เขต S.Polo ก็จะถึงสะพานที่สองที่มีชื่อเสียงนั่นคือ สะพาน เรียลอัลโต้ (Rialto) สะพานแห่งนี้เดิมทีเป็นสะพานไม้ และสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 หลังจากที่พังทลายลง สะพานหินก็ถูก

สร้างขึ้นทดแทน และเป็นสะพานข้าม Grand Canal เพียงแห่งเดียวจนถึงปี ค.ศ. 1854 จนกลายเป็น

ศูนย์กลางการคมนาคม และค้าขายแลกเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของเวนิส รอบๆ สะพานเป็นย่านขายของที่ระลึกและตลาดขายของสด ตลอดสองข้างทางจะเป็นตลาดขายของทั้งหมด  บริเวณใกล้ๆตลาดนี้จะมีโบสถ์เก่าสไตล์ โกธิคอยู่ด้วยคือ โบสถ์ San Giacomo di Rialto  
ซึ่งมีสัญลักษณ์เด่นที่หน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่  

ป้ายบอกทางไป S.Marco และ สะพาน Rialto จะมีบอกตลอด 
 



ร้านขายเครื่องเทศ และพาสต้าพบได้ตลอดทาง 

 หากอยากลองเป็นกะลาสีเรือ ก็มีร้านขายด้วย

ด้านบน สะพาน เรียลอัลโต้ 

เมื่อเดินข้ามสะพานต่อไปเรื่อยๆ จะมี ป้ายบอกทางตลอด ก็จะเจอกับ จตุรัส San Marco สุดท้ายขากลับเดินเลาะมาทางฝั่งขวาจะมองเห็น โบสถ์ La Salute Church ซึ่งอยู่เยื้อง ๆ กับซานมาร์โก โบสถ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายพระแม่มารี ถ้ามีเวลาน่าจะเข้าไปดู  หากเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับสะพาน Accademia ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเกาะ Dorsoduro กับ San Marco

 สะพาน Accademia




โบสถ์ La Salute Church ถ่ายจากบนสะพาน Accademia

2 จตุรัส San Marco ได้ชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี ในบริเวณจัตุรัสจะมีร้านค้า สินค้าแบรนด์เนมต่างๆ และร้านอาหารมากมาย รอบๆ จัตุรัสมีอาคารที่สำคัญสองแห่งคือ หอระฆัง และหอนาฬิกา 
  
หอระฆัง (Campanile) เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเวนิส นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปข้างบนเพื่อชมวิวของเมืองและลำน้ำได้ หอระฆังแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอเคยทำการสาธิตกล้องส่องทางไกลของเขา เดิมทีหอนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ช่วยเหลือนักเดินเรือในตอนกลางคืน แต่ในยุคกลางกลับถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ อย่างไรก็ตาม หอระฆังแห่งนี้เคยพังทลายลงในปี ค.ศ. 1902 และได้รับการก่อสร้างขึ้นใหม่ โดยเสร็จสมบูรณ์ในปี 1912 เปิดให้ขึ้นไปชมวิวเมืองได้ทุกวัน โดยเวลาที่เปิดจะแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู โดยในฤดูร้อนเปิดตั้งแต่เวลา 9.00 - 19.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 5.20 ยูโร




 หอระฆัง


ภาพบนหอระฆัง 
หอนาฬิกา (Torre dell’ Orologio) ได้รับการสร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 หน้าปัดนาฬิกาเป็น
สีน้ำเงิน แสดงการหมุนเวียนของพระจันทร์ และจักรราศีต่างๆ มีเรื่องเล่าว่าช่างที่ออกแบบนาฬิกานี้ถูกทำให้ตาบอดหลังจากเสร็จงาน เพื่อมิให้ไปทำนาฬิกาแบบนี้ขึ้นอีก สามารถเข้าไปชมในหอนาฬิกาได้ แต่ต้องเข้าไปตามรอบของไกด์ทัวร์ ซึ่งจะมีเวลาแตกต่างกันไปในแต่ละวัน ใช้เวลาเข้าชมประมาณ 50 นาทีต่อหนึ่งรอบ เสียค่าเข้าชมคนละ 17 ยูโร 




หอนาฬิกา  

วังดูคาเล (Palazzo Ducale) วังดูคาเลเป็นที่พักของผู้ปกครองเวนิส ซึ่งเรียกว่า Doge ถูกก่อสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 แต่ได้รับการตกแต่งและก่อสร้างเพิ่มเติมหลายครั้ง รูปโฉมด้านนอกในปัจจุบันเป็นผลงานจากศตวรรษที่ 19 เป็นศิลปะแบบโกธิค ได้รับการตกแต่งด้วยหินอ่อนสีชมพูจากเมืองเวโรน่า ภายในตกแต่งด้วยศิลปะหลายยุคสมัย แบ่งเป็นห้องต่างๆ มากมาย ประดับไว้ด้วยภาพวาดโดยศิลปินเวนิสหลายราย นอกจากนี้ยังมีห้องทรมานนักโทษ และทางออกไปยังสะพานแห่งการทอดถอนใจซึ่งเชื่อมไปยังคุก ว่ากันว่านักรักคาสโนว่าเคยถูกกักขังไว้ที่นี่ และสามารถหลบหนี ออกมาได้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00 - 19.00 น. (ในช่วงฤดูร้อน) และ 9.00 - 17.00 น. (ในช่วงฤดูหนาว) ค่าเข้าชมคนละ 6.50 ยูโร 




 วังดูคาเล


  เสาไฟลักษณะเอกลักษณ์ของ San Marco 


หากเดินเลี้ยวซ้ายไปเรียบทะเลไปนิดเดียว จะเห็นสะพาน Bridge of Sigh ที่โด่งดังของ เวนิส ทำจากหินอ่อน

Bridge of Sigh  นึกว่าตลาดน้ำอัมพวา 555
โบสถ์ซานมาร์โค (Basilica di San Marco) โบสถ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเวนิสแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือในเวนิส ในฐานะนักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาที่อิยิปต์ และถูกประหารชีวิต ก่อนที่ชาวเวนิสจะไปนำศพกลับมาเก็บไว้ที่โบสถ์ ซานมาโคแห่งนี้ จุดเด่นของโบสถ์ที่ซานมาร์โคอยู่ที่การมีโดมถึง 5 โดม ได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าได้รับการประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปปั้นม้าบรอนซ์ 4 ตัว ซึ่งว่ากันว่าขโมยมาจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล ส่วนภายในโบสถ์เป็นที่เก็บรักษาศพของนักบุญมาร์ค จุดที่น่าสนใจอยู่ที่เพดาน กำแพง และพื้นซึ่งตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีทอง ครอบคลุมระยะกว่า 4,000 ตารางเมตร เป็นเรื่องราวการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของนักบุญมาร์คและเรื่องราวในพระคัมภีร์ นอกจากนี้ภายในโบสถ์ยังมีพิพิธภัณฑ์ อยู่ด้วย ซึ่งจัดแสดงม้าบรอนซ์ กระเบื้องโมเสค บันทึกเรื่องราวต่างๆ สมัยยุคกลาง รวมทั้งวัตถุโบราณอื่นๆ มากมาย เปิดให้เข้าชมวันจันทร์ถึงเสาร์ เวลา 9.45 - 17.00น. ส่วนวันอาทิตย์ เปิดให้เข้าชมเวลา 14.00 - 17.00น.ไม่เสียค่าเข้าชมถ้าเข้าเฉพาะโบสถ์ แต่ถ้าเข้าพิพิธภัณฑ์ในนั้นจะเสียค่าเข้าแตกต่างกันไป






โบสถ์ซานมาร์โค

3 เรือกอนโดร่า ท้ายที่สุด ถ้าใครมีงบเผื่อไว้แล้ว และอยากจะนั่งเรือกอนโดร่า มีท่าจอดเรือหลายที่ มีแบบถูก กับแบบแพง  ถ้าดูจากการตกแต่งของเรือก็พอจะเดาได้ สนนราคา อยู่ ที่ 100 ยูโรต่อเที่ยว หรือแพงกว่านั้น จะเป็นรอบเล็กรอบใหญ่ ครึ่งชั่วโมง หรือ หนึ่งชั่วโมง ก็แล้วแต่จะตกลงกัน ถ้านักท่องเที่ยว มากันเป็นครอบครัว หรือกลุ่มใหญ่นั่งลำเดียว 5 คน ก็น่าจะคุ้ม





เรือ กอนโดร่า

ตอนเย็นเราก็มาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกอีกที บริเวณสะพาน ปอนเต  ก็โรแมนติก ไม่น้อยเลยทีเดียว


 พระอาทิตย์ตก ที่ เวนิส
 



เกาะ Burano




ที่เวนิส ยังมีเกาะอื่นๆที่โด่งดัง อาทิ เกาะมูลาโน่ (Murano) ดังในเรื่องเครื่องแก้ว หากอยากไปดูสาธิตวิธีการทำแก้วก็ต้องไปดูที่เกาะ เกาะ บูลาโน่ (Burano) ที่มีบ้านสีสรรสดใสแสบตา ดังเรื่องของเครื่องถัก ลูกไม้ต่างๆ   หากใครไม่เหนื่อยและเผื่อเวลาไว้ที่เวนิส 2 วัน ก็แนะนำให้ลองนั่งเรือล่องไปชมตามหมู่เกาะ ต่างๆด้วย 

 ภาพ เกาะ Murano






สะพาน เรียลอัลโต้ ในมุมต่างๆ 

โบสถ์ San Giacomo di Rialt 

ร้านค่าต่างๆ มากมายสองข้างทาง แต่บริเวณสะพานนี้ราคาจะค่อนข้างแพง



Magnet น่ารักๆ ของที่ระลึกถึงเวนิส

 หน้ากากแต่และประเภทมีชื่อของมัน รู้จักแต่ Casanova อ่ะ ฮิๆๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น