วันที่ 16 ดินแดนโบราณ อิยิปต์ (ปิรามิดกีซ่า, พิพิธภัณฑ์ไคโร, ตลาด Khan el Khalili ) -> กลับไทย
ตื่นเช้ามารับประทานอาหารที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้ ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ขนมปังทาเนย หรือแยม และไข่ต้มหนึ่งฟอง พร้อมชา กาแฟ และน้ำผลไม้ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ประมาณ 9 โมงเช้า ทำการ Check out ให้เรียบร้อย แล้วฝากกระเป๋าเอาไว้ รอเจ้าหน้าที่จาก Viator มารับ โดยปกติจะมีเจ้าหน้าที่ 3 คน คือ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร 1 คน ไกด์ 1 คน และคนขับรถ อย่างที่บอกว่าทริปนี้เป็น Private ทัวร์ ผู้โดยสารจึงมีแค่เรา 2 คน ยื่นเอกสารที่พิมพ์มาเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้เราเซ็นเอกสาร ก็พร้อมที่จะเดินทางได้ โดยจะเหลือแค่เรา ไกด์ และคนขับรถ
อาหารเช้าที่อียิปต์
ล้อหมุน ตะลุยทะเลทราย
รถโดยสารของ Viator เป็นรถตู้ปรับอากาศ ที่ต้องเน้นว่าปรับอากาศเพราะที่อียิปต์ร้อนมาก โดยเฉพาะแสงแดด ในยามกลางวัน ใครที่เอาเสื้อผ้าแขนยาว เสื้อคลุม หมวก แว่น ร่ม ครีมกันแดด ก็เตรียมกันให้พร้อม ไกด์เราบอกว่าร้อนแบบนี้ถือว่าปกติ ถ้านั่งแท๊กซี่ส่วนใหญ่ ก็จะไม่เปิดแอร์ เปิดหน้าต่างแทนเพราะเค้าบอกว่าอากาศวันนี้ดี เมื่อออกเดินทางตอนเช้า ก็จะได้เห็นกับตึกราม บ้านช่อง ทัศนียภาพต่างๆ รูปแบบตึกที่นี่จะไม่ได้ทันสมัยเท่าไหร่นัก และสีก็จะออกทึมๆ เนื่องจากฝุ่นจากทะเลทราย ที่อยู่ ล้อมรอบ
ไกด์บอกว่า รถแท๊กซี่ที่นี่ พึ่งจะเริ่มมี Meter ได้ไม่นาน ดังนั้นถ้าจะโดยสารไปไหน หากกลัวว่าจะโดนโก่งราคา ก็ให้ขึ้นแท๊กซี่มิเตอร์
รถตู้พาออกไปยัง Motor Way เพื่อจะไปยังจุดหมายแรกคือ ปิรามิด กีซ่า ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากตัว Downtown ประมาณ ครึ่งชม. ระหว่างทาง ไกด์เล่าให้ฟังเรื่องราว ของภูมิทัศน์รอบข้าง ไกด์ให้เราสังเกตว่า บ้านของที่อียิปต์ส่วนใหญ่จะเป็น อิฐบล็อคสีแดง ที่ยังไม่ทาสี (เหมือนทำไม่เสร็จ ) เนื่องจากว่า รัฐบาลจะเก็บภาษีที่อยู่อาศัยทันที หากว่าบ้านสร้างเสร็จแล้ว เค้าจึงตั้งใจ ไม่ทำให้บ้านมันเสร็จ แล้วก็จะมีต่อเติม สร้างชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นหมายถึง มีการแต่งงาน แล้วก็ย้ายเข้ามาอยู่ รวมกันก็จะสร้างต่อขึ้นไปอีกชั้น
บ้านพักอาศัยที่ไคโร ถ่ายจาก Motorway
รถขับผ่านแม่น้ำไนล์
นั่งมาได้ซักพัก ก็เริ่มมองเห็นปีรามิด เป็นฉากหลังแต่ไกล เส้นทางที่ออกไปนอกเมืองจะเป็นบรรยากาศของคนพื้นเมืองจริงๆ
เมื่อถึงจุดแรก ไกด์ก็จัดการเรื่องตั๋วให้เสร็จสรรพ แต่หากใครเดินทางมาเอง จะต้องเสียค่าเข้าคนละ 60 อียิปต์ปอนด์ หรือประมาณ 350 บาท
ตั๋วเข้าชมพิรามิด
มหาพีระมิดกีซ่า (Giza Plateau) : 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
เป็นพีระมิดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) เป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์(CHEOPS) หรือ คูฟู ซึ่งพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นเองเมื่อก่อนคริสตกาลประมาณ 25,800 ปี นับอายุจนถึงปัจจุบันก็กว่า 4,500 ปี ถือเป็นพีระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่กลางทะเลทราย พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติของปิรามิดได้แก่เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรล่าสัตว์
มหาพีระมิดกีซ่า
พีระมิดแห่งกีซ่าประกอบด้วย
1.พีระมิดคูฟู (Khufu) หรือ มหาพีระมิดแห่งกิซ่า (The Great Pyramid of Giza) ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ยังคงเหลืออยู่ในปัจจุบัน มีขนาดใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า
พีระมิด คูฟู
ล่าสุด พึ่งมีการขุดพบเรือโบราณขนาดใหญ่สร้างด้วยไม้ในบริเวณเดียวกับ พีระมิดคูฟู ที่เป็นหลักฐานว่าชาวอียิปต์โบราณมีความสามารถในการต่อเรือขนาดใหญ่ได้ดี หากจะเข้าชมต้องเสียค่าเข้าต่างหาก
เรือไม้ขนาดใหญ่ที่ถูกค้นพบ
2.พีระมิดคาเฟร (Khafre) ตั้งอยู่ตรงกลางของพีระมิดทั้ง 3 และสร้างอยู่บนพื้นที่สูง ทำให้ดูเหมือนมีขนาดใหญ่ที่สุด และมีบางคนเข้าใจผิดว่าพีระมิดคาเฟรคือมหาพีระมิดแห่งกิซ่า
พีระมิดคาเฟร
อุโมงค์เพื่อเข้าไปยังใจกลางพิระมิด หากจะเข้าต้องเสียเงินเพิ่มค่อนข้างแพง
ไกด์เล่าให้ฟังว่า โดยปกติ ฟาโรห์ ผู้เป็นพ่อ จะสร้างพิระมิด ใหญ่ที่สุด ลูกที่ปกครองต่อมา จะต้องสร้างพิระมิด ที่เล็กกว่าแต่ กษัตริย์ คาเฟร ได้ใช้เทคนิคทางด้านธรณี และภูมิทัศน์ โดยสร้างบนพื้นที่สูงกว่า ทำให้พิระมิด คาเฟร ดูใหญ่กว่า พิรามิด คูฟู ผู้เป็นพ่อ
มองไกลๆจางมุมนี้จะเห็นว่าพีระมิดคาเฟร สูงที่สุด
3.พีระมิดเมนคูเร (Menkaure) ขนาดเล็กที่สุดและเก่าแก่น้อยที่สุดในหมู่พีระมิดแห่งกิซ่า จากตำแหน่งการก่อสร้างทำให้คาดได้ว่า เดิมอาจตั้งใจสร้างให้มีขนาดใกล้เคียงพีระมิดคูฟู และพีระมิดคาเฟรแต่ในที่สุดก็สร้างในขนาดที่เล็กกว่า พีระมิดเมนคูเรมักปรากฏในภาพถ่ายพร้อมกับหมู่พีระมิดราชินีทั้ง 3 (The Three Queen's Pyramids)
พีระมิด เมนคูเร
เกร็ดเล็กน้อยน่ารู้ ตามที่มีข้อมูลปรากฏในแหล่งต่างๆ อ้างถึง จำนวนหิน ที่นำมาก่อสร้าง พีระมิดคูฟู ต่างกันไปตั้งแต่ 2 ล้านถึง 2.6 ล้านก้อน ประมาณน้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 ตัน โดยจัดเรียงซ้อนกันขึ้นไปประมาณ 200 ชั้น คิดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 6 ล้านตัน
แถวนี้มีบริการอูฐ ให้นั่งขี่ และถ่ายรูปด้วย ราคาแล้วแต่เจรจา
สฟิงซ์อียิปต์
สฟิงซ์เป็นการผสมกันระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์แสดงไว้คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผากมีงูแผ่แม่เบี้ยและมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์ รูปสลักสฟิงซ์ของอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) บริเวณใกล้กับพีระมิดคาเฟร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ หมู่พีระมิดแห่งกิซ่า (Giza Pyramid Complex) สฟิงซ์เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของกษัตริย์ หรือเป็นสัตว์ที่มีชาญฉลาดและมีพลังเพื่อปกป้องพระศพและทรัพย์สมบัติภายในพีรามิด
สฟิงซ์ ในมุมต่างๆ
ไกด์ บอกต้องท่านี้ ให้สฟิงซ์หอมแก้มซะเลย
เกร็ดเล็กน้อยน่ารู้ สฟิงซ์ยักษ์กีซ่า ถือเป็นสฟิงซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แกะสลักจากหินก้อนขนาดมหึมาเพียงก้อนเดียว โดยมีความยาวของลำตัวที่ 73.5 เมตร สูง 21 เมตรใบหน้ามีความยาว 5 เมตร จมูกยาว 2 เมตร ส่วนเคราไม่สามารถระบุตัวเลขของขนาดได้ ปัจจุบันนี้เคราและจมูกของสฟิงซ์ยักษ์ตัวนี้ ถูกแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ BRITISH MUSEUM กรุงลอนดอน ส่วนลำตัวของสฟิงซ์ มีรอยผุกร่อนอย่างชัดเจนทั้งจากสภาพภูมิอากาศอันเลวร้ายในทะเลทรายและพายุทรายพัดกระหน่ำทับถมอยู่เป็นประจำ และเนื่องจากถูกแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลากในอดีตท่วมมาถึงครึ่งตัว กัดกร่อนให้บริเวณฐานเสียหายและเหลือร่องรอยการแช่น้ำ ทำให้ปัจจุบันนี้สฟิงซ์ยักษ์อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก แต่ก็สามารถมองภาพความยิ่งใหญ่ในอดีตได้จากสิ่งที่ยังเหลืออยู่
บริเวณด้านหน้าทางเข้าไปชม สฟิงซ์ จะมีของที่ระลึกราคาถูกขายอยู่ หากจะซื้อจะต้องต่อรองราคาเยอะพอสมควร
หลังจากไกด์พาทัวร์เรียบร้อย ก็จะพามาแวะที่โรงงานทำกระดาษ ปาปิรุส (Papyrus) ซึ่งก็ถือเป็นธรรมเนียมการท่องเที่ยวของที่นี่ หรือทัวร์ทั่วๆไป หากใครสนใจก็สามารถให้ทางร้านเขียน ชื่อเราเป็นภาษาอียิปต์โบราณได้
กระดาษของชาวอียิปต์โบราณ ผลิตจากหญ้าที่เรียกว่า ปาปิรุส (papyrus) และเรียกว่ากระดาษปาปิรุส พบว่ามีการใช้จารึกบทสวดและคำสาบาน บรรจุไว้ในพีระมิดของอียิปต์ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่ามีการใช้กระดาษที่ทำจากปาปิรุสมาตั้งแต่ปฐมราชวงศ์ของอียิปต์ (ราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล) สำหรับวัสดุใช้เขียนนั้น ในสมัยโบราณมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น แผ่นโลหะ หิน ใบลาน เปลือกไม้ ผ้าไหม ฯลฯ ผู้คนสมัยโบราณคงจะใช้วัสดุต่างๆ หลากหลายเพื่อการบันทึก ครั้นเมื่อราว ค.ศ. 105 ชาวจีนได้ประดิษฐ์กระดาษจากเศษผ้าฝ้าย และหลังจากนั้นได้มีการใช้วิธีผลิตกระดาษเช่นนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว กระดาษปาปิรุส ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดาษชนิดแรกของโลกนั้น มีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลยนะคะ ทำมาจากต้นกก บ้านเราก็มีค่ะ กก แบบนี้ แต่ลำต้นไม่ใหญ่เท่าต้นกกที่อียิปต์
ได้มาหนึ่งแผ่น เขียนเป็นชื่อ เราสองคน ฮิ้วๆ
ร้านขายกระดาษปาปิรุส มีมากมาย ถือเป็นของที่ระลึกหลักของที่นี่
เที่ยงกว่าๆ ไกด์ก็จะพาไปทานข้าว ที่ตลาดข่าน เอล คาลิลี (Khan el Khalil )
เราให้ไกด์แนะนำอาหารพื้นเมืองที่อร่อยๆมา 1 อย่าง ก็ได้ตาม Set มีเนื้อย่าง และ แป้งนาน ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมือง น้ำซอสรสชาติคล้ายๆน้ำเสตะบ้านเราแต่จืดกว่า
อาหารพื้นเมืองมื้อแรกและมื้อเดียว เนื้อย่างอร่อยมาก
ที่นี่เป็นย่านขายของที่ระลึกเลยก็ว่าได้ มีตรอกซอกซอยให้เดิน เหมือนจตุจักรบ้านเรา ชิชา ที่ใช้สูบ ก็มีวางขายทั่วไป
ใครชอบก็สามารถมาเดินกลางคืนเป็นเหมือน ไนท์บาร์ซ่าได้เหมือนกัน
หลังจากตกลงเวลากับไกด์ว่าขออยู่ที่ซัก 1 ชม. บ่ายกว่าๆ ไกด์ก็พาไปต่อที่ โรงงานน้ำหอม ( ขายของอีกตามฟอร์ม ) แต่ไกด์คนนี้ดีมาก เค้าบอกเลยว่า ถ้าไม่อยากซื้อก็ไม่เป็นไร ตอบปฏิเสธไปได้ แต่ไหนๆก็มาแล้ว ก็ขอติดไม้ติดมือ ไปเป็นของฝากซักหน่อย เมื่อเดินเข้าไปในร้าน เค้าก็จะเอาน้ำมาเสริฟ พร้อมกับสาธยาย ถึงสรรพคุณต่างๆนาๆ ของน้ำหอมที่นี่ ซึ่งมีหลากหลายกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นพวกดอกไม้ ลาเวนเดอร์ มะลิ ดอกบัว รวมถึงพวกชื่อแปลกๆอย่าง คลีโอ ฟาโร Secret of the Dessert ที่ใครฟังก็ต้องอึ้ง เพราะสรรพคุณคล้ายน้ำหอมกระตุ้นความรู้สึกทางเพศประมาณนั้น หรือรวมถึงกลิ่นน้ำหอมดังๆอย่าง วิคตอเรีย ซีเคร็ท CHANEL No5 เอ้าอยากลองตัวไหนก็ช่วยอุดหนุนเค้าหน่อย
น้ำหอมมีมากกว่า 50 กลิ่นให้เลือก ดมกันจนมึนไปเลย
หลังจากเลือกน้ำหอม ก็จะขายขวดบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีลวดลายต่างๆสวยงาม แต่ราคาก็แพงตามไปด้วย
ใช้เวลาอยู่ที่โรงงานน้ำหอมประมาณ ครึ่งชั่วโมง ก็ออกเดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์ไคโร ซึ่งจริงๆแล้วอยู่ใกล้ที่พักเรามาก ไกด์จึงอยากจะพาเป็นที่สุดท้าย จะได้ มีเวลาเดินได้เต็มที่ ด้านในห้ามถ่ายรูป ภายในมี Hilight ที่สำคัญคือโรงเก็บพระศพ ศพของ ฟาร์โรตุตันคาเมน เครื่องแต่งกายต่างๆ และสมบัติส่วนตัวอีกมากมายของพระองค์ อาทิเช่น เตียงบรรทม รถศึกและเก้าอี้บรรลังก์ทองคำทั้งหมด และรูปปั้นโบราณต่างๆ ส่วน Hiligt อีกที่คือ พระศพของฟาร์โรตุตันคาเมน ที่ขุดพบขึ้นมาแล้ว ซึ่งในส่วนนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
พิพิธภัณฑ์ อียิปต์ (Egyptian Museum of Antiquities )
นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ของโลกที่เก่าแก่ที่สุดมานานและมีชื่อเสียง เนื่องจากเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุโบราณที่ถูกค้นพบจากที่ต่างๆ จากหลายยุคสมัย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยท่านเมเรียต ออกัสท์ นักเชี่ยวชาญวัตถุโบราณ ชาวฝรั่งเศษ เริ่มเปิดขึ้นวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ 1902
ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
ตั๋วเข้าชม พิพิธภัณฑ์ สวยดี เก็บไว้เป็นที่ระลึก
เมเรียต ออกัสท์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์
บรรยากาศรอบนอก พิพิธภัณฑ์
จาก ประวัติศาสตร์อียิปต์ได้กล่าวว่า ในสมัยปี ค.ศ 1826 ได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ชั่ว คราว ณ ริมฝั่งสระเอซเบก แต่กษัตริย์สมัยนั้นกลับ ไม่เห็นความสำคัญ นำวัตถุโบราณ มอบเป็นของกำนัลแก่นักบริหาร และข้าราชการชั้นสูงชาวยุโรป ทำให้วัตถุโบราณเหลือ น้อยลงมาก โดยเฉพาะในปีค.ศ. 1855 จักรพรรดิมิกส์มิเลียนชาวออสเตรีย ได้นำวัตถุ โบราณจากอียิปต์เป็นของกำนัลกลับประเทศ จากท่านเคเดวีย์อับบาสบาชา เมื่อครั้นมา เยือนอียิปต์ ทำให้ชาวอียิปต์ต่างเศร้าสลดใจอย่างมาก และปัจจุบัน วัตถุเหล่านั้นก็ยังอยู่ ณ กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย
เกร็ดเล็กน้อยน่ารู้
ตุตันคาเมน (Tutankhamen) แม้พระองค์จะไม่ใช่มหาราชที่ยิ่งใหญ่หรือนักรบผู้เกรียงไกร แต่ชื่อของฟาโรห์ตุตันคาเมนก็เป็นที่รู้จักดียิ่งกว่าฟาโรห์องค์อื่นๆ เนื่องด้วยสุสานของพระองค์ที่ถูกขุดพบนั้นคงสภาพสมบูรณ์ยิ่งกว่าของฟาโรห์องค์ใด และกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการบอกเล่าถึงเรื่องราวของอียิปต์โบราณ พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์โดยมีพระชนมายุเพียงสิบชันษาเท่านั้น อำนาจในราชสำนักจึงตกอยู่ในมือของอัยย์ ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีและหัวหน้านักบวชแห่งจอมเทพอามอน กับนายพลโฮเรมเฮปผู้บัญชาการทหาร ฟาโรห์ตุตันคาเมนครองราชย์เพียงสิบปีเท่านั้น ก็สวรรคตอย่างลึกลับ จากมัมมี่ของพระองค์ได้มีการพบรอยร้าวที่กระโหลก ซึ่งแสดงว่าพระองค์น่าจะสวรรคตจากการตกจากรถศึก นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าพระองค์น่าจะถูกลอบปลงพระชนม์โดยคนใกล้ตัว ซึ่งอาจจะเป็นเสนาบดีอัยย์หรือไม่ก็นายพลโอเรมเฮป หลังการสวรรคตของพระองค์ ราชินีอนัคซูนามุนทรงส่งสาส์นไปยังกษัตริย์ฮิตไตท์ให้ทรงพระโอรส มาอภิเษกกับพระนางและเป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์โดยพระนางแจ้งไปในสาสน์ว่า "พระนางทรงหวาดกลัวที่จะต้องอภิเษกกับข้ารับใช้ของพระนาง" กษัตริย์ฮิตไตท์ก็ทรงส่งพระโอรสเดินทางมาอียิปต์ แต่ทว่าทันทีที่ขบวนเสด็จมาถึงเขตแดนอียิปต์ ก็ถูกซุ่มโจมตีและสังหารจนหมดทุกคน ทำให้ทางฮิตไตท์โกรธมาก ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรจึงตึงเครียดยิ่งขึ้น หลังจากนั้นอัยย์ซึ่งชรามากแล้วก็อภิเษกกับเจ้าหญิงอนัคซูนามุนและ ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์แต่ครองราชย์ได้เพียงสามปีก็ประชวรสวรรคต และในที่สุดนายพลโฮเรมเฮปก็กลายเป็นฟาโรห์พระองค์ใหม่
ฟาโรห์ ตุตันคาเมน
กระดาษ ปาปิรุส ของแท้ มีอายุหลายพันปี ที่จัดแสดง ในพิพิธภัณฑ์
ขอบคุณภาพจาก Wikipedia ทำให้ได้เห็นภาพด้านในของพิพิธภัณฑ์ เพราะปกติห้ามถ่ายรูป
ประมาณ 5 โมงเย็น หลังจากเที่ยวมาเหนื่อยทั้งวันแล้ว ไกด์พากลับมาส่งที่โรงแรม ก็อาบน้ำให้เรียบร้อย บางโรงแรมอนุญาต บางโรงแรมถือว่าเรา Check out แล้วก็จะไม่อนุญาต แต่ก็สามารถไปหาอาบที่สนามบินได้ ให้รองติดต่อเจ้าหน้าที่ตรง Reception ว่าเราต้องการแท๊กซี่ ไปสนามบินประมาณ 1 ทุ่ม เพราะเครื่องบินกลับไทย จะออกเดินทางเวลา 4 ทุ่ม ต้องเผื่อเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินทางและอีก 2 ชม.ก่อน Check in แล้วจึงค่อยออกไปเดินหาร้านอาหารทานข้าวเย็นก่อน อาหารภายในสนามบินแพงมาก เพราะงั้นถึงแนะนำให้หาอะไรทานก่อน เมื่อถึงเวลานัดก็มาติดต่อที่เคาเตอร์ เจ้าหน้าที่จะพาไปขึ้นแท๊กซี่ เดินทางสู่สนามบิน ไคโร อ้อ อย่าลืมทิป สำหรับเด็กถือกระเป๋า และคนขับด้วย เพราะมันเป็นทำเนียม
ผู้พัน ช่วยชีวิต
สุดท้าย ไม่ท้ายสุด หวังว่าการเดินทางทริปนี้คงประทับใจคุณคุณ และขอให้คุณคุณทุกคนเดินทางกลับยังประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ผู้เขียนหวังเพียงว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณคุณทุกคนไม่มากก็น้อย
ที่เที่ยวอื่นๆ เพิ่มเติมในไคโร
หากใครมีเวลา และวางแผนไว้ว่าจะอยู่เที่ยว อิยิปต์ ต่อ ก็มีที่เที่ยวแนะนำที่อยากจะให้ลองไปชมกัน
ซัคคาร่า (Saqqara) ปิรามิดขั้นบันได ซัคคาร่า : เมืองแห่งสุสาน เพราะว่าที่เมืองนี้มีสุสานของฟาโรห์ทั้งหมด 11 แห่ง ซึ่งอยู่ในสมัยอาณาจักรเก่า และสุสานคนสำคัญอื่นๆอีกมากมาย ปัจจุบันหลงเหลือก็แต่ปิรามิดขั้นบันไดให้ได้ชม
• ปิรามิดขั้นบันไดเมืองซัคคาร่า (Saqqara) เป็นปิรามิดที่เก่าแก่ที่สุด
• สถานที่ตั้ง : เมืองซัคคาร่า
• ผู้ที่สร้าง : ฟาโรห์โจเซอร์ แต่ผู้ออกแบบก่อสร้างคืออิมโฮเทป
• ปีที่สร้าง : ประมาณ 4,600 – 5,000 ปีมาแล้วครับ
•
ค่าเข้าชม : 50
ปอนด์ (ประมาณ 300
บาท)
ซัคคาร่า
เป็นอันเสร็จสิ้นการเดินทาง ข้ามทวีป ของเราสองคน กลับมากระเป๋าแบนตัวแฟบ
ไปอีกหลายเดือน เพราะถึงค่าเที่ยวจะไม่หนักหนามาก แต่โดนค่า Shopping เข้าไป
555 เอาเป็นว่า ถ้าใครมีโอกาส ก็ลองไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆต่างแดนอย่างเราสอง
คน และขอให้สนุกกับการเดินทางนะครับ
ทริปหน้าจะเป็นอะไร โปรดติดตามตอนต่อไป ^^ (รอเก็บตังค์ก่อน )