วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลัลล้า @ Hong Kong & Macau Day 3 วันสุดท้าย (ฉบับย่อ)

วันที่ 5 ในฮ่องกง ไม่ใช่วันสุดท้าย แต่เป็นรูปวันสุดท้ายแล้ว เพราะวันสุดท้าย ไม่ได้ถ่ายเลย เดิน SHopping อย่างเดียว คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะพาไปเป็นทริปตระเวนกิน ของอร่อยๆในฮ่องกง 555




วันนี้พาไปไหว้ พระใหญ่ ที่ Ngong Ping กันดีกว่า ไปโดยรถไฟฟ้าใต้ดินอีกเหมือนเดิม  นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง Tsuen Wan Line ไปลงที่ Lai King จากนั้นต่อรถไฟฟ้าสีส้มไปลงที่ Tung Chung และออก Exit B เพื่อเดินทางไปขึ้นกระเช้าที่ Ngong Ping 360





นั่งรถไฟ ไปแต่เช้า ก็ยังไม่วาย เจอขบวนนักท่องเที่ยว ที่แห่ กันไป ต่อคิว เกือบ 2 ชม. กว่าจะได้ขึ้น คนเยอะเกิ๊นนน



ขึ้น Crystal Cable แบบใหม่ที่พื้นเป็นแบบกระจกใส แนะนำถ้าใครมา ให้ซื้อตั๋ว พิเศษ ผ่านอินเทอร์เนต ไปเลย จะมีช่อง Fast Pass ไม่ต้องต่อคิว สบายกว่ากันเยอะ แต่ต้องซื้อเป็น Package 








บรรยากาศ บนกระเช้า มองเห็นสนามบินอยู่ทางซ้ายมือ ด้วย



ถึงแล้ว หมู่บ้าน หนองปิง ข้างบนมีของขาย ของกิน แล้วก็มีเส้นทางสำรวจธรรมชาติด้วย แต่เป้าหมายเราคือ ขึ้นไปไหว้ พระใหญ่ ที่อยู่บนยอดเขานู่นนนนน





พร้อมใจอะยัง เห็นบันได อยู่ข้างหน้าละ




พระใหญ่ องค์ โต๊ โต


เสร็จแล้วก็ลงมาหาอะไรทาน แดด วันนี้แรงมากๆ ขากลับนั่งกระเช้า ลงอีกรอบ





เสร็จแล้ว ไปเดินเล่นตามอัธยาศัยเลย  แล้วก็ตกค่ำ ตอน 19:30 มารอดู Symphony of Light ถ้าใครยังไม่เคยดูก็แนะนำให้ไปดู แต่ถ้าดูแล้วคงรู้ว่า ไม่ไปรอบ 2 แล้วหละ 5555








ขาตั้งไม่ได้เอาไป ภาพเบลอ อย่างเห็นได้ชัด 555









ด้านข้าง ริมอ่าว มีทางเดินที่เป็น Walk of Star แบบ ฮอลลีวู๊ด ที่มีรอยฝ่ามือ ของดาราดังๆ ฮ่องกง อยู่ด้วย เสร็จ แล้ว ก็เดินกลับมากิน ข้าวแถว Tsim Sha Tsui วันนี้เดินเยอะ มาก กลับห้อง แบบหมดสภาพ ^^








ทิ้งทาย สั่งลา ฮ่องกง ด้วยบรรยากาศ ของ2 ฝั่ง Hong Kong และ Kaoloon
  เอาไว้คราวหน้ามาใหม่นะค๊าบ 












วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

ลัลล้า @ Hong Kong Day 2 (ฉบับย่อ)

วันที่ 2 ในฮ่องกง วันที่ 4 ของการเดินทาง  


นั่งรถไฟมาชม Golden Bauhinia Square เค้าว่าเป็นสัญลักษณ์ วันประกาศอิสระภาพของฮ่องกง นะ  รายละเอียดไม่แน่ใจนัก
แต่ขอบอกว่าเดินไกลมาก ประมาณว่า ถ้าเทียบเมืองไทย Impact Arena ไป Hall 8 กันเลยทีเดียว 





ไปดูสัญลักษณ์ของฮ่องกง จำได้ไม๊ว่าดอกอะไร ที่ปรากฏอยู่บนธงของฮ่องกง ^^
  
วันนี้ ฟ้าครึ้ม แต่อากาศก็ยังร้อนอบอ้าว ฝนไม่ตกให้คลายร้อนเลย




เดินมาด้านข้างหน่อย ก็จะเห็นป้าย รถเมล์ ด้วยความที่ไม่อยากจะเดินย้อนกลับไปขึ้นรถไฟฟ้า ก็เลยดูตารางซะหน่อย เห็นว่า มีรถวิ่งไป Causeway Bay ใกล้ๆ กันก็เลยจัดไป (
 Causeway Bay เป็นแหล่ง Shopping ใหญ่ ของฝั่ง Hong Kong มีทั้ง Fashion Street, Time Square , SICO และ อื่นๆอีกมากมาย )
— 
อย่างที่บอกว่า วันนี้ เป็น Shopping Day  เราแทบไม่ได้ถ่ายรูปเลย 5555  ในภาพคือย่าน Causeway Bay  เดินไปเดินมา ก็เหมือนๆกันหมด  หาร้านกินหนมอร่อยๆ ดีก่า เนอะ ^^





เดินกันจนถึงมืด ถึงค่ำ เหนื่อยมั๊กๆ แต่ได้ของมาถุงเดียว 55 กลาย Window Shopping Day  จากนั้น ก็กลับมาหาของกินแถวๆย่าน Tsim Sa Tsui  ย่านที่เราคุ้นเคย 





วันนี้ มาดู Symphony of Light ไม่ทัน ก็เลยเก็บภาพ ทั่วไปก่อน แต่ก็ดี เพราะคนไม่เยอะ ^^  








วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ Hong Kong Day 1 (ฉบับย่อ)

ต้องขอบอกว่า ตอนที่เขียนทริปนี้ ก็ปล่อยทิ้งข้อมูลไว้ตั้งเกือบครึ่งปี ^^''  ไม่ได้ Update เลย ทำให้ข้อมูลเลือนลาง ตามสภาพอายุสมอง 555 ข้อมูลที่ได้อาจจะไม่ละเอียด เท่ากับ ทริปก่อนๆ  แต่ต้องขอบอกว่า ฮ่องกง มาเก๊า เป็นอะไร ที่เที่ยวไม่ยาก  สามารถไปเอง ได้สบายๆ ต้องขอขอบคณข้อมูลจาก www.hongkongfanclub.com  ที่เอื้อเฟื้อ ข้อมูลมากมาย ให้เราวางแผนไปเที่ยว  ถ้าเพื่อนๆ อยากได้ข้อมูลที่ละเอียดกว่านี้ก็สามารถเข้าไปดูกันได้ ครับ 


เอ้า สำหรับ ของเราสองคนก็มาเริ่ม กันเลยดีกว่า 


หลังจากเราเที่ยวมาเก๊ามา 2 คืน ย่างเข้าวันที่ 3  ตอนเช้า นั่งรถเมล์ (จำสายไม่ได้ แต่ดูเส้นทางที่วิ่งไป ท่าเรือ Macau Ferry Terminal ภาพสามารถย้อนกลับไปดูวันแรก ได้ ต้องผ่านด่าน ตม. เหมือนเดินทางออกนอกประเทศ กรอกเอกสาร ยื่น เสร็จไปซื้อตั๋วเรือ  ถ้าขึ้นของ Turbo Jet ก็จะลงที่ Macau Ferry Terminal ฝั่งฮ่องกง อยู่ในเขต Sheung Wan ตัวอาคารจะตรงกับ MTR พอดีตรงประตู D   แต่ถ้านั่ง First Ferry จะไปลงที่ China Ferry Terminal ซึ่งอยู่แถว  Tsim sha tsui  สำหรับทริปของเรา ขึ้น Turbo Jet จ๊าาา 




นั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงละ วันนี้คิวเที่ยวยาวเหยียด เพราะเก็บวันหลังๆไว้ Shopping รูปเพียบเลย ติดตามชมกันได้แล้วค๊าบ ^^


ตามภาพ หลังจาก Check out ก็ไปนั่งรถเมล์ แถวท่ารถที่เราลงวันมานั่นแหละ แต่จำสายไม่ได้ ^^'' ขึ้นเรือที่ Macao Ferry ไปฮ่องกง ไปลงที่ท่าเรือ ออกมาเจอสถานีใกล้ๆ Central แล้วต่อรถไฟไป North Point เข้า Check in ก่อน


สถานี North Point ออกมา ที่ถนน Java Rd. เลี้ยวขวา ก็เจอเลย โรงแรม iBis 






โรงแรม iBis ราคา 2 พัน 5 ได้ Pro อาหารเช้าดีๆ จาก Booking.com ห้องเล็ก แอร์ไม่เย็น แต่วิวดี เหมือน Feed Back ที่อ่านมาเลย 555 แต่เพราะใกล้สถานีรถไฟ และ ท่ารถเมล์ ก็เลยเลือกที่นี่ ตั้งอยู่ฝั่งฮ่องกง มองเห็นเกาลูนจากหน้าต่างห้องนอนได้เลย





เก็บของเสร็จแล้ว ก็ไปกินข้าวเที่ยง ก่อนไปเที่ยว ทริปหน้า น้องก้อย บอกว่าขอมาตระเวนกินอย่างเดียวนะ ของกินฮ่องกงอร่อยมาก

 ลืม Up รูป Sea View จากห้องนอน ^^
 หลังจากกินข้าวจนมีพลัง พร้อมเดินทางแล้ว เราก็เริ่มทริปเทียว Hongkong วันนี้ กันเลย สถานที่แรก คือ Repulse Bay เพื่ไปนมัสการ องค์ เจ้าแม่กวนอิม , เทพเจ้าโชคลาภ และ เทวรูป , เทพเจ้า ต่างๆ ที่ตั้งประดิษฐานอยู่อย่างเด่นสง่า เพื่อเป็นสิริมงคล เอาชัยกันหน่อย
ป้ายรถเมล์ที่เราจะขึ้นก็คือท่ารถเมล์ Harbour Parade นี่แหละ ที่อยู่ตรงข้ามโรงแรม iBis (จากรูป Panorama Sea View) จะเห็นท่ารถอยู่ด้านล่างของภาพ )  เส้นทางรถเมล์ไม่ยาก สามารถค้นหาได้จาก เว็บไซต์ http://www.nwstbus.com.hk/home/default.aspx?intLangID=1
เป็นเว็บ Citybus ของ Hong kong   เราแค่เข้าไป Search แบบ Point-to-point ตามตัวอย่าง
เราเลือกต้นทางจาก North Point ไปลง Repulse Bay




กด Search ผลลัพธ์ที่ได้ แทแด้มมม  รถที่ขึ้นได้ก็มี สาย 63 กับ 65   วิธิหารถขากลับก็ใช้วิธีเดียวกันก็ได้ ^^




 นั่งรถเมล์ไปไหว้ เจ้าแม่กวนอิม เก็บบรรยากาศบนเกาะฮ่องกง ซึ่งเอกลักษณ์คือ รถรางสองชั้น


แผนที่เส้นทางไป Repulse Bay  ขึ้นเขาลงเขา หลายรอบ จนปกติ เป็นคนที่ไม่เคยเมารถ ก็เมา ก็คราวนี้แหละ อ๊อกกกก T T 








เล็งตึกนี้ให้ดี ๆ ถ้าเห็นแล้วรีบลงเลย  แสดงว่าถึงแล้ว  ตึกนี้มีชื่อว่า The Repluse Bay หน้าตึกมีป้ายรถเมล์ ลงตรงนี้เลย ไม่งั้นเลยแน่ๆ...


ตึกนี้มีประวัติน่ะ  สังเกตุหรือเปล่าว่าทำไมตึกถึงต้องมีรูตรงกลางด้วย???ตอบ ... แต่ก่อนตึกนี้ก็เป็นเหมือนตึกอื่น ๆทั่วไปแหละ  เป็นตึกตัน ๆ แต่ว่าหลังจากที่ทำเสร็จกิจการก็ไม่ดีทางเจ้าของตึกจึงไปจ้าง ซินแส ชื่อดังมาดูฮวงจุ้ยให้ ว่าเกิดอะไรขึ้น  ปรากฏว่าตึกนี้สร้างขวางการเดินทางเข้าออกของมังกร  ทำให้มังกรไม่สามารถลงมาเล่นน้ำที่ทะเลได้ ส่งผลให้กิจการแย่ลงเรื่อยๆ ซินแส จึงบอกว่าต้องเจาะตึกให้มังกรวิ่งเข้า-ออกได้อย่างสะดวกอย่างเดิม... เจ้าตึกนี้ก็เลยมีหน้าตาแบบนี้นี่เองหลังจากนั้นเจ้าของตึกก็ทำกิจการอะรัยก็สำเร็จลุล่วงทุกอย่าง






ขากลับเราวางแผนว่าจะไปขึ้นกระเช้าเพื่อไป The Peak ต่อ จึงต้องเปลี่ยนสายรถเมล์เพื่อมุ่งหน้าไป Central  เราจะลง  บริเวณ ตึก Bank of China Tower (ถ้าสงสัยว่าตึกไหน ก็รูปข้างล่างที่เป็นตึกดาบ นี่ไง )
จากข้อมูล ขึ้นสาย 6 โลดดดดดด 


เจอแล้ว ตึกดาบค๊าบบบ  สังเกตป้าย Peak Tram เดินตามไปเรื่อยๆ ก็เจอสถานีแล้ว ^^




การซื้อบัตรทั้งหมดมี 2 วิธี
วิธีที่ 1 : สำหรับใครที่ใช้บัตร Octopus Card ก็จะต้องเข้าแถวนี้ไปเรื่อย ๆ จนถึงคิวเราที่จะต้องซื้อบัตร  เราก็ไม่ต้องซื้อบัตรและสามารถเดินตรงเข้าไปด้านในเพื่อแตะบัตร Octopus เพื่อตัดค่าโดยสาร Peak Tram ได้เลย
วิธีที่ 2 : ใครที่ใช้เงินสด  ก็จะต้องเข้าแถวนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน  พอถึงคิวที่เราจะต้องซื้อบัตร  เราก็จะต้องไปที่เค้าน์เตอร์เพื่อชำระค่าโดยสาร
หมายเหตุ : ที่นี่ไม่รับบัตรเครดิตน่ะจ๊ะ


รอนานมาก เกือบ 2ชม. หนะ  -_-''



ถึงแล้วววว The Peakถ่ายกับ Poster ก่อน เดี๋ยวข้างนอกมันมืด ถ่ายยากอ่ะ
แต่ถ้าใครอยากขึ้นไปยังจุดชมวิว สูงสุด (The Terrace) ต้องเสียเงินค่าขึ้นไปอีก ถ้าถามว่าคุ้มไม๊ ก็คุ้มนะ ได้ภาพอย่างที่เห็นข้างล่างนี่แหละ ^^


180' กับ View From The Peak




รูปสวยๆ บรรยากาศ ยากที่จะลืมเลือน





ขากลับ จะนั่งกระเช้าลงก็ได้ แต่ขอบอกว่ารอคิวนานมากๆ พอๆกับขามา จึงตัดสินใจนั่งรถเมล์กลับดีกว่า เดินออกมาจาก ตัว Terrace จะมีท่ารถเมล์และ Taxi ไว้บริการ  เป้าหมายเราก็ลงไปด้านล่าง ที่ Central Station ^^  


หลังจากถึงสถานที เราก็ เช็คตั๋ว Octopus หน่อยว่าตังค์หมดยัง เติมตังค์ได้จากที่ตู้ หรือ 7-11 ในสถานีได้เลย  เหมือนเดิม นั่งรถไฟฟ้า กลับไปลง สถานี North Point เป็นอันจบ ทริป 1 วันแล้ว ^^

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลัลล้า @ มาเก๊า ฮ่องกง ตอนที่ 2

วันที่ 2 มาเก๊า ทัวร์ จัดเต็ม

     แผนเที่ยววันนี้ ที่จัดเอาไว้ล่วงหน้า มีเยอะมาก ทั้งไปวัด อาม่า ไปไหว้รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม รวมถึง ไปหมู่บ้านวัฒนธรรมและไปดูรูปปั้น อาม่า  แต่ปรากฏว่า ฝนดันตกซะนี่ ผิดแผน หมดเลย  เราสองคนเลยคุยกันว่า ถ้างั้น ก็เที่ยวในตัวเมืองก็พอ  เพราะงั้น ถ้าหากใครได้มาเที่ยว ก็ลองวางทริปเพิ่มสำหรับที่เที่ยวที่ผมไม่ได้ไปนะครับ

เอาหละ ตื่นมาตอนเช้า ก็ต้องหาอะไรทาน ให้ได้อรรถรสของมาเก๊า ซะหน่อย

 บรรยากาศยามเช้า เราเดินออกมาหาอะไรทานที่ Senedo Square อีกแล้ว เพราะมีร้านนึงที่ได้เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน และอยู่ในร้านแนะนำจากหนังสือ


ผ่านตรอกซอกซอย ก็เห็นแต่คนเดินกันเป็นคู่ๆ

จากแผนที่ Senedo Square  อยู่ที่จุด A  ร้าน Wong Chi Kei ที่เมื่อวานเราไปกินมาอยู่ที่จุด B และ ร้าน ที่เราจะไปทานเช้าวันนี้ อยู่ที่จุด C

ร้านเด็ดนี้มีPork Chop Bun ที่ถูกปากเรามากๆ ส่วนบะหมี่ มันเหมือน มาม่าไง ไม่รู้ ขนมหวานที่เค้าแนะนำ กินไม่หมดด้วย เพราะไม่หร่อยเลยอ่ะ 5555
  
เอาหละ หลังจากกระเพาะเราอิ่มแปล้ แล้ว ก็พร้อมเดินทาง เรากลับมาเดินเที่ยว Sendo ตอนกลางวัน ฝนก็ยังปรอยๆ ตลอด อ่ะ แต่เหมือนคนที่นี่จะชิน บางคนทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น เดินกันเฉยๆ

ย่านการค้าเซนาโด้สแควร์ โดดเด่นด้วยพื้นถนนที่ปูลาดด้วยกระเบื้อง เป็นลอนคลื่น เปรียบเสมือนท้องทะเลอันอุดมสมบูรณ์ ล้อมรอบไปด้วยอาคารสไตล์ยุโรปหลากสีสัน ที่นี่จัดว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่รวมไว้ซึ่งร้านค้าต่างๆ มากมาย ทั้งแฟชั่น แบรนด์เนม ร้านแผงลอย เฟอร์นิเจอร์โบราณ อัญมณี เครื่องประดับ ของที่ระลึก ฯลฯ เรียกว่าจะหาซื้ออะไรในมาเก๊า มาที่นี่ที่เดียวก็ได้ครบ


เดินเข้ามาใน Senedo Square ได้นิดเดียวก็จะเห็น โบสถ์ St.Dominic เข้าไปชมด้านในกันหน่อย

St. Dominic’s Church หรือ โบสถ์ เซนต์ดอมินิค เป็นโบสถ์ที่ได้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ A Abelha da China เป็นภาษาโปรตุเกสแห่งแรกในจีน ในวันที่ 12 กันยายน ค..1822 ส่วนหอระฆังด้านหลังอาคารได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนามากถึง 300 ชิ้น เปิดให้เข้าชม 10.00-18.00 .   โดยบาทหลวงในนิกายโดมินิกันชาวสเปน  3 รูปที่มาจากอะคาปุลโกในเม็กซิโกโบสถ์แห่งนี้ความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์พระแม่มารี (Brotherhood of Our Lady of Rosary)
ในปี 1929 ทางโบสถ์ได้รับเอาแม่พระฟาติมามาบูชาด้วย เนื่องจากแม่พระฟาติมาได้ทรงปรากฏพระองค์ให้คนเลี้ยงแกะ 3 คนเห็น ที่เมือง Fatima ประเทศโปรตุเกสหลังจากที่ได้มีการบูชาพระแม่ฟาติมาที่โบสถ์แห่งนี้แล้ว การบูชาแม่พระฟาติมายังได้เผยแพร่ไปยัง ติมอร์ สิงคโปร์ และ มาเลเซีย ด้วย
ด้านบนทำเป็นวงรีประดับรูปเคารพซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ Dominican orderเสาที่ประดับด้านหน้าเป็นเสาคอรินเธียนทั้งหมด หน้าต่างเป็นหน้าต่างบานเกล็ด ทาสีเขียวตัดกับสีของตัวอาคาร ช่องซุ้มประตูด้านหน้าทั้ง 4 ช่องตกแต่งด้วยปูนปั้นอย่างสวยงามเข้ากันกับเสาคอรินเธียนที่ค้ำทางเข้าโบสถ์

เวลาไปเที่ยวตปท ทีไร จะพยายามจัดทริปให้ได้ไปโบสถ์ด้วย เพราะน้องก้อย นับถือคริสต์ ^^

หลังจากนั้นเราก็จะเดินไปชม โบสถ์ St Paul  แต่ต้องบอกตามตรงว่าตอนนั้น ลืมแผนที่เอาไว้ที่ห้องรู้แต่ว่าเดินจาก Senedo ขึ้นไป เดินมาถึงทางแยก ซ้ายขวา ต้องเลือกแล้วซิ  แล้วทุ๊กกกกก ที เวลาต้องตัดสินใจเลือกทางทีไร มันไปผิดทุกที

ให้ดูแล้วกันว่า เราเดินกันยังไง


ปกติ เดินตามลูกศร สีแดง ก็ถึงแล้ว แต่เส้นที่เราเดิน คือ "สีเหลือง"   ขาลากเลยซิค๊าบบบ

แต่โอเค ไม่เป็นไร ทางที่เราเดินไป ได้ผ่าน สุสานโปรตุกิส ด้วย ก็เลยได้แวะถ่ายรูปเพิ่มเติมอีกจุด (ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจเล้ยยย 555 ^^'' )

ป.ล. ถ้าใครอยากซื้อของที่ระลึก เช่นพวงกุญแจ ลูกแก้ว Magnet อื่นๆของมาเก๊า จะมีหลายร้านอยู่ถนน R.Dom Belchior Carneiro ซึ่งจากแผนนที่จะอยู่บนสุดตรงลูกศรสีเหลือง ที่ไปตั้งตรงนั้นเพราะเป็นจุดจอดรถทัวร์ครับ ^^




จัดซักรูป

ที่เห็นเป็นอาคารสีฟ้าๆ คือ อาคารที่อยู่ในสุสาน โปรตุกิส  / ถนนที่นี่ สวยนะ จะว่าไป เพราะปูหินตามพื้นถนน เป็นลวดลาย ต่างๆ สวยงามเชียว


ระหว่างทางที่ " เดินหลง "เห็นถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสาน ระหว่าง โปรตุเกส กับ มาเก๊า ได้อย่างชัดเจน

เพราะเราเดินหลงทำให้มาโผล่ที่ประตู St.Paul ทางด้านหลัง ก็เลยขึ้นไปชมวิวก่อน เพราะบันไดเลื่อนจะถึงก่อน ด้านบนจะมีพิพิธภัณฑ์มาเก๊าด้วยซึ่งเปิดให้เข้าชมวันอังคาร – วันอาทิตย์( 10 โมง – 6 โมงเย็น) ค่าเข้าคนละ 15 MOP  แต่ถ้าจะชมวิวอย่างเดียวก็ไม่เสียเงิน ขึ้นบันไดเลื่อนไปด้านบน จะมีป้อมปืนใหญ่ สมัยก่อน และเห็นทิวทัศน์ มาเก๊า ได้จากด้านบน ด้วย ^^

วิว Panorama จากบนยอดเขา

ลงมาด้านล่าง มาต่อกันที่ ประตู St.Paul คราวนี้ของจริงละ ไม่มีหลง 5555

ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล ( Ruins of St.Paul's ) ก่อตั้งขึ้นในปี 1594 และปิดในปี ค..1762 เป็นมหาวิทยาลัยตามแบบตะวันตกแห่งแรกของเอเชียตะวันออก หลังจากที่เกิดเพลิงไหม้ในปี 1853 ทั้งวิทยาลัยและโบสถ์ถูกทำลายจนเหลือแต่ด้านหน้าของตึก  ฐานโบสถ์และบันไดด้านหน้า ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก


ซากประตู St Paul  สัญลักษณ์ของ มาเก๊า ที่หนังโรแมนติก เรื่องไหนๆสมัยก่อน ก็ต้องมาถ่าย คนเยอะมากกกกกก

รูปปั้น ชายชาวฝรั่ง กับ ญ ชาวจีนที่ยื่นดอกไม้ให้ หมายถึงอะไร หาอ่านประวัติกันเอาเองนะ อิๆๆ

ถนนบริเวณด้านหน้า ประตู St.Paul ก็จะมุ่งกลับไปยัง Senedo Square  สองข้างทางจะมีร้านขายของเพียบเลยทั้งของกิน เสื้อผ้า ของฝากที่เป็นของกิน เราก็หาซื้อได้จากที่นี่ ตอนนี้ก็เที่ยงกว่าๆ แล้ว เราก็แวะกินข้าวเติมพลังกันก่อน ฟ้ายังครึ้มๆอยู่ เราเลยตัดสินใจว่าบ่ายนี้ จะไปเที่ยว Fisherman's Wharf แทน 
เส้นทางรถเมล์ จำไม่ค่อยได้ แต่เลือกรถเมล์ที่วิ่งไปทาง ท่าเรือ มาเก๊า (ให้เช็คแผนที่อีกทีนะครับ ) แต่ตัว Fisherman's Wharf เนี่ยจะอยู่ติดกันเลย  ถ้าเดินมาก็ไม่ไกล หรือลงป้ายรถเมล์ที่ใกล้ๆกับ Sand Casino หรือ จตุรัส ดอกบัว (Lotus Square) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประกาศอิสรภาพ ขอมาเก๊าที่ได้รับจากโปรตุเกส
  


จาก Senedo Square ก็ไปต่อกันที่ Fisherman's Wharf นึกว่าเกี่ยวอะไรกับ คนตกปลา อ้าว มันเป็น เหมือน Aveneu สำหรับเดินเล่น มีส่วนจัดแสดง และคาสิโนอยู่ด้าน ใน  ^^''
ส่วนดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับในวันประกาศเสรีภาพ จากโปรตุเกส


เดินเล่น ถ่ายรูป ร้านค้าไม่ค่อยเปิดเท่าไร ไม่รู้ เจ๊ง หรือยังไม่เปิด ^^''

ทำอย่างกับ โคลอสเซียมที่อิตาลี เลย

ฝนตกปรอยๆ ตลอด เลยต้องคอยหลบฝนเป็นพักๆ  สุดท้าย เลยกลับไปตายรังที่ Senedo หาข้าวกินตอนเย็นดีก่า ^^'' เสียดายจังถ้าอากาศดีกว่านี้ มาเก๊ายังมีที่เที่ยวอีกเยอะ ที่อยากไป

ติดใจร้านเดิม Wong Chi Kei  คราวนี้ สั่งพวกข้าวมาทาน ไม่ผิดหวัง อร่อยมากๆ ^^